ราคาทองขึ้นต่อมั้ย? รู้จัก Inverted Yield Curve ตัววัดสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย
“เพราะเส้นอัตราผลตอบแทนจะเกิดภาวะผกผัน (inverted yield curve) ก่อนที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในทุกๆครั้งมาตั้งแต่ปี 1989 นั่นทำให้นักลงทุนบางส่วนใช้ภาวะดังกล่าวเป็นสัญญาณว่าสภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังมาถึง และเป็นที่มาที่ทำให้นักลงทุนปิดรับความเสี่ยง พร้อมกับหนุนให้ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้น แม้จะเผชิญกับแรงกดดันจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ก็ตาม”
ตามปกติแล้วในช่วงเศรษฐกิจดี ผู้ที่ถือครองพันธบัตรระยะยาวควรจะต้องได้รับ "ผลตอบแทน" ที่สูงกว่าผู้ที่ถือครองพันธบัตรระยะสั้น นั่นเป็นเพราะว่าพันธบัตรระยะยาวมีความเสี่ยงโดยรวมมากกว่าจากระยะเวลาการถือครองพันธบัตรที่นานกว่า หากนักลงทุนนึกภาพไม่ออก อาจจะลองเทียบเคียงกับเวลาที่นักลงทุนฝากเงินในบัญชีธนาคาร หากผู้ฝากสามารถถอนเงินได้ตลอดเวลาธนาคารก็มักจะไม่จ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝาก ให้ทางกลับกัน หากผู้ฝากฝากเงินในธนาคารเป็นเวลานานกว่านั้น ผู้ฝากก็จะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งตลาดตราสารหนี้ก็เป็นไปในในลักษณะเดียวกันนั่นคือ “ยิ่งให้กู้เงินนานเท่าไร ก็จะได้รับผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น”
ความวิตกของนักลงทุนถูกกระตุ้นขึ้น หลังจากเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) แบนราบ (Flat) มากขึ้น จนก่อให้เกิดความกังวลว่า ภายในปีนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) อาจเกิดภาวะผกผัน (inverted yield curve) ซึ่งเป็นภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว และนั่นก็เป็นสัญญาณบ่งชี้ความไม่ปกติในตลาด รวมถึงสะท้อนให้เห็นว่าผู้คนมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับอนาคตอันใกล้นี้
โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนจะจับตาส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีเป็นพิเศษ เนื่องจากสถิติในอดีตพบว่าตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นมาเกิดสภาวะเศรษฐกิจทั้งหมด 4 ครั้ง ที่สำคัญ คือ มีการเกิด inverted yield curve ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีก่อนที่จะเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในทุกครั้ง ดังนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าการเกิด inverted yield curve ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีจะเป็นสัญญาณเตือนที่น่าเชื่อถือว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังใกล้เข้ามา
ที่มารูปภาพ : .www.barrons.com
สำหรับภาวะผกผันในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หรือ inverted yield curve ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 และ 7 ปี เมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10, 20 และ 30 ปี แม้ปัจจุบันยังไม่เกิดภาวะ inverted yield curve ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี
อย่างไรก็ดี ณ วันที่ 22 มี.ค. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีเพียง 20 bps เท่านั้น โดยหดแคบลงจากส่วนต่างระดับ 117 bps เมื่อหกเดือนหน้า ทำให้ตลาดเริ่มวิตกว่ามีแนวโน้มจะเกิด inverted yield curve ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีภายในปีนี้ ซึ่งจะสะท้อนโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐอาจเผชิญกับสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในอนาคต
“แต่กระนั้น YLG ก็ไม่อยากให้นักลงทุนตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะ inverted yield จะต้องมีความต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาหนึ่งจึงจะเป็นสัญญาณ “ขาลง” สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ สถิติในอดีตยังบอกอีกว่า แม้ว่าจะเกิด inverted yield curve แต่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจไม่เกิดขึ้นทันที และมีบางครั้งในช่วงก่อนปี 1989 ที่เศรษฐกิจสามารถหลีกเลี่ยงสภาวะถดถอยได้แม้จะเกิดinverted yield curve ระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีก็ตาม”
โดย BofA พบว่านับตั้งแต่ปี 1956 เป็นต้นมา จะใช้เวลานับจากเกิด inverted yield curve ไปจนถึงสภาวะเศรษฐกิจถดถอย สั้นสุดคือ 8 เดือน(US recession ปี 1959) และยาวนานสุดคือ 24 เดือน(US recession ปี 1959) โดยค่าเฉลี่ยและค่ามัธยฐานจากเกิด inverted yield curve ไปจนถึงสภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะอยู่ที่ 15.1 และ16.3 เดือนตามลำดับ
แม้ว่าหากเกิดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเกิดสภาวะถดถอยจะเป็นปัจจัยส่งผลเชิงบวกต่อราคาทองคำ แต่ YLG แนะนำว่านักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป และนักลงทุนก็ควรจะติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมตัวปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
บทความของ YLG ที่ผ่านมา
ไขข้อข้องใจ เหตุใดทองคำ ขึ้นแรง-ลงแรง หลังรัสเซียบุกยูเครน
สถิติชี้ “ทองคำ” จ่อฟื้นตัวหลังเฟดเริ่ม “ขึ้น” ดอกเบี้ยครั้งแรก