Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
IMFขยับเป้าGDPไทยปี68เป็น2% แรงกดดันภาษีทรัมป์แผ่ว แต่อนาคตยังเปราะบาง
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

IMFขยับเป้าGDPไทยปี68เป็น2% แรงกดดันภาษีทรัมป์แผ่ว แต่อนาคตยังเปราะบาง

30 ก.ค. 68
12:56 น.
แชร์

หลังจากเศรษฐกิจโลกตกอยู่ในความผันผวนมาหลายเดือน โลกเริ่มเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวที่ดีเกินคาดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนชัดในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook Update) ฉบับเดือนกรกฎาคมว่า แรงส่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังเป็น “แรงหนุนชั่วคราว” ไม่ใช่การฟื้นตัวเชิงโครงสร้างที่มั่นคง โดยปัจจัยหลักมาจากการเร่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจก่อนการขึ้นภาษี (frontloading) อัตราภาษีเฉลี่ยที่แท้จริงของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาด และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ซึ่งช่วยคลายแรงตึงตัวในระบบการเงินโลก

ประเทศไทยเองก็ได้รับแรงกระเพื่อมจากปัจจัยเดียวกัน โดย IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยปี 2568 เป็น 2.0% จากเดิม 1.8% และปี 2569 เป็น 1.7% จากเดิม 1.6% แม้จะเป็นข่าวดีเชิงตัวเลข แต่ก็สะท้อนเพียงแรงกระตุ้นระยะสั้นที่ยังไม่สามารถชดเชยข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง เช่น ศักยภาพการเติบโตที่ต่ำ การลงทุนที่ยังอ่อนแรง และความไม่แน่นอนด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์

นอกจากนี้ แม้จะมีการปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตปี 2568 ขึ้นเป็น 3.0% (เพิ่มขึ้น 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์จากเดือนเมษายน) และ 3.1% ในปี 2569 แต่ IMF เน้นย้ำว่าความเสี่ยงด้านลบยังคงมีอยู่มาก ทั้งจากนโยบายภาษีของสหรัฐที่อาจเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน ความเปราะบางทางการคลังในหลายประเทศ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจสร้างแรงกระแทกต่อห่วงโซ่อุปทานโลกได้ตลอดเวลา

IMF เพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยปี 68 เป็น 2.0% แม้แนวโน้มยังชะลอตัว

ตามรายงานประจำเดือนกรกฎาคม 2568 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยข้อมูลคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยระบุว่าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)ของไทยในปี 2568 จะอยู่ที่ 2.0% ในปี 2568 และลดลงเป็น 1.7% ในปี 2569 ซึ่งสะท้อนภาพการฟื้นตัวที่ยังเปราะบางและชะลอตัวลงในระยะปานกลา

เมื่อเปรียบเทียบกับประมาณการในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook: WEO) ฉบับเดือนเมษายน 2568 IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 ขึ้นอีก 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์ และปรับเพิ่มคาดการณ์ของปี 2569 อีก 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์ สะท้อนมุมมองที่ดีขึ้นในบางปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงอยู่ในกรอบการขยายตัวที่ต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งเน้นย้ำความจำเป็นของการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาวต่อไป

สำหรับภาพรวมกลุ่มประเทศ ASEAN-5 ซึ่งประกอบด้วยอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย รายงานฉบับเดือนกรกฎาคมระบุว่า GDP ที่แท้จริงของกลุ่มนี้ขยายตัวที่ 4.1% เท่ากันในปี 2568 และ 2569 โดย IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของกลุ่ม ASEAN-5 ในปี 2568 ขึ้น 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์ และปี 2569 ขึ้น 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์

ในรายละเอียดรายประเทศ อินโดนีเซียคาดว่า GDP จะขยายตัวที่ 4.8% ในปี 2568 และ 2569 โดยตัวเลขในปี 2568 และ 2569 ได้รับการปรับเพิ่มขึ้น 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์จากประมาณการเดิม

ในกรณีของมาเลเซีย IMF คาดว่า GDP จะเติบโต 4.5% ในปี 2568 และ 4.0% ในปี 2569 โดยประมาณการปี 2568 ได้รับการปรับเพิ่มขึ้น 0.4 จุดเปอร์เซ็นต์ และปี 2569 เพิ่มขึ้น 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์

ด้านฟิลิปปินส์ยังคงแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดย IMF คาดว่า GDP จะเติบโตที่ 5.5% ในปี 2568 และ 5.9% ในปี 2569 ได้รับการปรับเพิ่มขึ้น 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์ ในปี 2569

IMF คาดเศรษฐกิจโลกปี 2568 โต 3.0% ปี 2569 โต 3.1% ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่

ในส่วนของเศรษฐกิจโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 ในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นร้อยละ 3.1 ในปี 2569 โดยประมาณการล่าสุดสำหรับปี 2568 ได้ปรับเพิ่มขึ้น 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์จากรายงาน World Economic Outlook (WEO) ฉบับเดือนเมษายน 2568 ขณะที่การคาดการณ์สำหรับปี 2569 ก็ขยับขึ้น 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์

การปรับประมาณการดังกล่าวสะท้อนถึงปัจจัยหลายประการ ได้แก่

  • กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เร่งตัวเร็วกว่าคาดในช่วงต้นปีเพื่อตอบสนองต่อการคาดการณ์การขึ้นภาษีนำเข้า เช่น การเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้ ทำให้เศรษฐกิจโลกยังพอทรงตัวได้ แม้โครงสร้างกิจกรรมถูกบิดเบือนจากภาษี โดยไตรมาสแรกของปี 2568 มีอัตราการเติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์ใน WEO เดือนเมษายนถึง 0.3 จุดเปอร์เซ็นต์
  • อัตราภาษีเฉลี่ยที่แท้จริงของสหรัฐอเมริกาที่ต่ำกว่าระดับที่ประกาศไว้ในเดือนเมษายน โดยอยู่ที่ 17.3% เทียบกับ 24.4% ในการประมาณการอ้างอิงเมื่อเดือนเมษายน ส่วนอัตราภาษีที่แท้จริงของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอยู่ที่ 3.5% ลดลงจาก 4.1% ตามรายงานเดิม
  • ตลาดการเงินฟื้นตัวเหนือคาด ดอลลาร์อ่อนค่าเปิดทางนโยบายการเงินผ่อนคลาย โดยตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ลบผลขาดทุนจากเหตุการณ์ขึ้นภาษีเมื่อวันที่ 2 เมษายน และทำสถิติใหม่ ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นในประเทศอื่น ๆ ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามกระแสข่าวเกี่ยวกับภาษีและข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคที่ออกมาดีกว่าคาด ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับอ่อนค่าลง สวนทางกับความคาดหมายว่าการขึ้นภาษีและการขาดดุลงบประมาณที่มากขึ้นจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่า
  • แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเริ่มทรงตัวมากขึ้น ขณะที่การอ่อนค่าของดอลลาร์ได้เปิดพื้นที่ให้นโยบายการเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาผ่อนคลายมากขึ้น แม้ส่วนปลายของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะเริ่มชันขึ้นในบริบทของความกังวลทางการคลัง แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ยังอยู่ในระดับที่ไม่ผิดปกติเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ แม้หลายประเทศจะมีระดับหนี้และการขาดดุลในระดับสูง

ทั้งนี้ IMF ย้ำว่าความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังคงเอนเอียงไปในทิศทางลบเช่นเดียวกับการประเมินในรายงานเดือนเมษายน หากอัตราภาษีที่แท้จริงกลับมาเพิ่มสูงขึ้น อาจเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้ออาจเริ่มส่งผลกระทบมากขึ้นต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหากกำหนดเวลาการบังคับใช้ภาษีนำเข้าเพิ่มเติมผ่านพ้นไปโดยไม่มีความคืบหน้าในข้อตกลงการค้าที่ถาวรและเป็นรูปธรรม

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ IMF ระบุ ได้แก่

  • ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และผลักดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้สูงขึ้น
  • การขาดดุลการคลังที่ขยายตัว หรือการเพิ่มขึ้นของความระมัดระวังในตลาดการเงิน ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยระยะยาวและการตึงตัวของสภาพคล่องทั่วโลก
  • ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการแบ่งแยกเศรษฐกิจโลก (fragmentation) ที่อาจกระตุ้นความผันผวนในตลาดการเงินอีกระลอก

ในด้านบวก IMF ระบุว่าหากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศนำไปสู่กรอบความร่วมมือที่ชัดเจนและการลดระดับภาษีนำเข้า อาจส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกให้ดียิ่งขึ้นได้

ทั้งนี้ IMF เน้นย้ำถึงความจำเป็นของนโยบายภาครัฐที่ต้องมุ่งสร้างความเชื่อมั่น ความคาดการณ์ได้ และความยั่งยืนในระยะยาว โดยการลดความตึงเครียดทางการค้า รักษาเสถียรภาพด้านราคาและตลาดการเงิน ฟื้นฟูฐานะการคลัง และผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างมั่นคง

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังผันผวน ภายใต้แรงกระทบที่แตกต่างกันระหว่างประเทศ

จากรายงานของ IMF แม้จะมีการปรับประมาณการการเติบโตขึ้นในหลายประเทศ แต่การปรับขึ้นในบางประเทศ เช่น จีน มีความชัดเจนมากกว่าประเทศอื่น การเร่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจล่วงหน้า (frontloading) คาดว่าจะเริ่มคลี่คลายลงในไตรมาสถัดไป โดยผลสะท้อนในปี 2569 จะส่งผลกดดันต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่จะถูกชดเชยบางส่วนจากปัจจัยอื่น ทำให้การเติบโตในภาพรวมยังถูกปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

  • กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 1.5% ในปี 2568 และ 1.6% ในปี 2569

สหรัฐอเมริกา คาดว่าจะเติบโต 1.9% ในปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์จากประมาณการเดือนเมษายน จากอัตราภาษีที่ต่ำกว่าที่ประกาศเมื่อ 2 เมษายน และสภาพคล่องทางการเงินที่ผ่อนคลายลง แม้ว่าความต้องการภาคเอกชนจะเริ่มชะลอเร็วกว่าคาด และแรงขับเคลื่อนจากการอพยพจะอ่อนลง

ในปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 2.0% เพิ่มขึ้น 0.3 จุดเปอร์เซ็นต์จากเดือนเมษายน โดยได้รับแรงกระตุ้นระยะสั้นจากมาตรการ OBBBA ผ่านแรงจูงใจด้านภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนของภาคธุรกิจ

IMF คาดว่า OBBBA จะช่วยเพิ่มผลิตภาพของสหรัฐโดยเฉลี่ยราว 0.5% จนถึงปี 2573 เมื่อเทียบกับสมมติฐานพื้นฐานที่ไม่มีมาตรการนี้

ยูโรโซน คาดว่า GDP จะเติบโต 1.0% ในปี 2568 และ 1.2% ในปี 2569 การปรับขึ้น 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์ในปี 2568 มีสาเหตุหลักจากผลการเติบโตที่แข็งแกร่งของไอร์แลนด์ในไตรมาสแรก แม้ไอร์แลนด์จะคิดเป็นไม่ถึง 5% ของ GDP ยูโรโซนก็ตาม โดยเกิดจากการส่งออกยาไปยังสหรัฐที่เพิ่มขึ้นมากและการเปิดโรงงานใหม่ หากไม่นับไอร์แลนด์ การปรับขึ้นจะเหลือเพียง 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์

สำหรับปี 2569 การคาดการณ์ยังคงเดิม โดยแรงผลักจากการเร่งกิจกรรมจะจางลง และเศรษฐกิจจะกลับสู่ระดับศักยภาพ ขณะที่งบประมาณกลาโหมที่ปรับใหม่คาดว่าจะเริ่มส่งผลตั้งแต่ปีถัดไปจนถึงปี 2578

ประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 1.6% ในปี 2568 และเพิ่มเป็น 2.1% ในปี 2569

อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของค่าเงินในบางประเทศได้ลดทอนผลบวกจากสภาวะการเงินที่ผ่อนคลาย ขณะที่อัตราภาษีที่แท้จริงยังคงเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าชิ้นส่วนรถยนต์ในเดือนพฤษภาคม และการเพิ่มภาษีเหล็กและอลูมิเนียมเป็นสองเท่าในเดือนมิถุนายน

  • กลุ่มประเทศเกิดใหม่และกำลังพัฒนา คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 4.1% ในปี 2568 และ 4.0% ในปี 2569

จีน คาดว่าการเติบโตในปี 2568 จะอยู่ที่ 4.8% ปรับเพิ่มขึ้น 0.8 จุดเปอร์เซ็นต์จากเดือนเมษายน การปรับนี้สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาดในช่วงครึ่งแรกของปี และการลดภาษีศุลกากรระหว่างจีนกับสหรัฐ โดยตัวเลข GDP ไตรมาสแรกเพียงอย่างเดียวก็ผลักประมาณการขึ้นอัตโนมัติ 0.6 จุดเปอร์เซ็นต์ ในช่วงครึ่งหลังของปี การฟื้นตัวของการสะสมสินค้าคงคลังจะช่วยชดเชยผลจากการเร่งกิจกรรมล่วงหน้า ปี 2569 การเติบโตคาดว่าจะอยู่ที่ 4.2% ปรับเพิ่มขึ้น 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์ จากอัตราภาษีที่ลดลงเช่นกัน

อินเดีย คาดว่าจะเติบโต 6.4% ทั้งในปี 2568 และ 2569 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนเมษายน สะท้อนสภาพแวดล้อมภายนอกที่เอื้ออำนวยมากกว่าที่เคยประเมิน

ตะวันออกกลางและเอเชียกลาง คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.4% ในปี 2568 และ 3.5% ในปี 2569

แอฟริกาตอนใต้ทะเลทรายซาฮารา คาดว่าเศรษฐกิจจะทรงตัวที่ 4.0% ในปี 2568 และเร่งขึ้นเป็น 4.3% ในปี 2569

ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอลงเหลือ 2.2% ในปี 2568 และฟื้นกลับขึ้นเป็น 2.4% ในปี 2569

ยุโรปตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา คาดว่าจะเติบโต 1.8% ในปี 2568 และ 2.2% ในปี 2569 ซึ่งยังถือว่าอ่อนแอ

ปริมาณการค้าโลก ถูกปรับเพิ่ม 0.9 จุดเปอร์เซ็นต์ในปี 2568 และปรับลดลง 0.6 จุดเปอร์เซ็นต์ในปี 2569 โดยแรงส่งจาก frontloading คาดว่าจะจางลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และมีผลกระทบย้อนกลับในปี 2569 ดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงยิ่งซ้ำเติมผลกระทบจากภาษี นำไปสู่การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสหรัฐฯ ที่มาตรการการคลังแบบขยายตัวยังกลบผลได้ในที่สุด

อัตราเงินเฟ้อโลก คาดว่าจะลดลงเหลือ 4.2% ในปี 2568 และ 3.6% ในปี 2569 โดยยังคงแนวโน้มจากเดือนเมษายน ทั้งจากอุปสงค์ที่ชะลอตัว และราคาพลังงานที่ลดลง

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเงินเฟ้อแตกต่างกันในแต่ละประเทศ โดยภาษีที่เพิ่มขึ้นถือเป็นแรงกระแทกด้านอุปทานในสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะส่งผ่านไปยังราคาผู้บริโภคในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ขณะที่ในประเทศอื่น ภาษีมีผลลดแรงกดดันเงินเฟ้อ

สหรัฐฯ คาดว่าเงินเฟ้อจะยังเกินเป้าหมาย 2% ไปจนถึงปี 2569 ส่วนยูโรโซนมีแนวโน้มชะลอลงจากค่าเงินแข็งและมาตรการการคลังชั่วคราว ส่วนจีน แม้เงินเฟ้อทั่วไปใกล้เคียงกับประมาณการเดิม แต่เงินเฟ้อพื้นฐานถูกปรับเพิ่มเล็กน้อยเป็น 0.5% ในปี 2568 และ 0.8% ในปี 2569 จากอัตราเงินเฟ้อล่าสุดที่สูงกว่าคาด และผลของการลดภาษี

เศรษฐกิจโลกยังเปราะบางจากความไม่แน่นอนรอบด้าน

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงสามารถทรงตัวได้ในระยะสั้นตามรายงานฉบับปรับปรุงของ IMF แต่แนวโน้มโดยรวมยังคงเผชิญกับความเสี่ยงในทิศทางขาลง ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินในรายงาน World Economic Outlook (WEO) ฉบับเดือนเมษายน ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า การเมืองระหว่างประเทศ เสถียรภาพทางการคลัง และภาวะการเงินโลก ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงกดดันต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

  • ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า ระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจ

สมดุลของนโยบายการค้าระหว่างประเทศยังคงเปราะบาง และถูกใช้เป็นฐานสมมติในแบบจำลองการคาดการณ์เศรษฐกิจ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือการปรับท่าทีเชิงนโยบายแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจกระตุ้นให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะตึงเครียดอีกครั้ง ทั้งในรูปของอัตราภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น ความล้มเหลวของการเจรจา และการฟื้นมาตรการกีดกันทางการค้าในระดับที่รุนแรงขึ้น

กรณีที่สหรัฐฯ ตัดสินใจดำเนินการตามแผนที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นหรือสูงกว่านั้นภายในวันที่ 1 สิงหาคม รวมถึงการบังคับใช้ภาษีในอัตราสูงถึง 50% สำหรับทองแดง จะส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก จากแบบจำลองของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พบว่า หากสหรัฐฯ นำอัตราภาษีตามประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายนและจดหมายเตือนเมื่อ 14 กรกฎาคมมาบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ อัตราการเติบโตของ GDP โลกในปี 2568 อาจหดตัวลงถึง 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ ภาษีที่เรียกเก็บในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น อิเล็กทรอนิกส์และเภสัชภัณฑ์ อาจทำให้อัตราภาษีที่แท้จริงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมสร้างคอขวดในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ขณะเดียวกัน มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีซึ่งมุ่งควบคุมการนำเข้าวัตถุดิบและปัจจัยการผลิต อาจยิ่งบิดเบือนกลไกการค้าสากลให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม

หากเกิดภาวะ “กลยุทธ์เสริมกัน” (strategic complementarities) ในระดับอุตสาหกรรม เช่น เมื่อบริษัทหนึ่งปรับราคาสินค้าแล้วคู่แข่งรายอื่น ๆ ปรับราคาตามอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์อาจนำไปสู่ภาวะราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นวงจรเงินเฟ้อที่ฝังลึกและยืดเยื้อในหลายประเทศ

แม้ในกรณีที่อัตราภาษียังไม่เปลี่ยนแปลงจากสมมติฐานพื้นฐาน แต่ระดับความไม่แน่นอนที่สูงมากยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ เดินหน้าบังคับใช้นโยบายการค้าใหม่โดยไม่มีกรอบข้อตกลงถาวรรองรับ ความไม่แน่นอนนี้อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน กระทบต่อการลงทุนในห่วงโซ่การผลิตระหว่างประเทศ ทั้งในโครงสร้างเดิมและที่กำลังก่อรูปใหม่ ส่งผลให้การผลิตและการส่งออกของประเทศที่พึ่งพาการค้าโลกชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ

  • ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และแรงกระแทกด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์

สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและยูเครนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกระตุ้นให้เกิดช็อกด้านอุปทานรอบใหม่ เส้นทางเดินเรือสำคัญอาจถูกปิดกั้น และห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอาจหยุดชะงัก หากโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งได้รับความเสียหาย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมัน อาจพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์คือการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงและแรงกดดันเงินเฟ้อที่กลับมาอีกระลอก

ในสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ ธนาคารกลางหลายแห่งอาจเผชิญภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากขึ้น เมื่อต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความจำเป็นในการควบคุมเงินเฟ้อกับการประคองกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแรง

  • ภาระการคลังสูงกระทบเสถียรภาพการเงิน

ความเปราะบางทางการคลังในหลายประเทศได้กลายเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยเฉพาะในประเทศที่มีหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณในระดับสูง เช่น บราซิล ฝรั่งเศส และสหรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว

ในกรณีของสหรัฐ หากความเชื่อมั่นในความยั่งยืนทางการคลังลดลง อาจส่งผลให้ส่วนต่างผลตอบแทน (term premium) เพิ่มสูงขึ้น จนนำไปสู่ความผันผวนของตลาดการเงินโลก และอาจกระทบต่อสภาพคล่องโดยรวม โดยเฉพาะในบริบทของความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการแบ่งแยกเศรษฐกิจโลก (geoeconomic fragmentation) และระบบการเงินระหว่างประเทศที่ยังคงอิงกับดอลลาร์สหรัฐ (ดูรายงานภาคนอกประเทศ 2025)

  • ความเสี่ยงจากปรากฏการณ์ frontloading 

เศรษฐกิจโลกในครึ่งแรกของปี 2568 ได้รับแรงผลักดันจากการเร่งดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจล่วงหน้า (frontloading) เช่น การนำเข้าสินค้าก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับ แต่ปรากฏการณ์นี้อาจสร้างความเสี่ยงในระยะต่อไป หากอุปสงค์ไม่เกิดขึ้นตามที่คาด

กรณีที่เกิดภาวะสินค้าคงคลังล้นเกิน (inventory overhang) บริษัทอาจต้องเผชิญกับต้นทุนการเก็บรักษาที่สูงขึ้น และความเสี่ยงจากการด้อยค่าของทรัพย์สิน โดยเฉพาะหากสินค้าสะสมไว้กลายเป็นของล้าสมัยหรือไม่ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภค ขณะที่สภาพการเงินที่อาจกลับมาตึงตัวขึ้นก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อผู้ประกอบการ

โอกาสเชิงบวกจากข้อตกลงการค้าที่มีเสถียรภาพ

แม้เศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ไม่ว่าจะจากภาษีนำเข้า การเมืองระหว่างประเทศ หรือความเปราะบางเชิงโครงสร้าง แต่การคาดการณ์ของ IMF ก็ยังมีมุมของความเป็นไปได้เชิงบวก ที่อาจเกิดขึ้นหากโลกสามารถก้าวไปสู่กรอบความร่วมมือทางการค้าที่มั่นคงและมีเสถียรภาพ

IMF มองว่า หากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศสามารถบรรลุข้อตกลงที่ชัดเจนและคาดการณ์ได้ ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจหมายถึงการลดลงอย่างต่อเนื่องของอัตราภาษีที่แท้จริง และการคลายตัวของมาตรการกีดกันทางการค้าในทุกรูปแบบ ความแน่นอนที่เกิดขึ้นจากกรอบกติกาที่ชัดเจนจะช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความเชื่อมั่นในการลงทุน และส่งเสริมให้ธุรกิจกล้าตัดสินใจในเชิงรุกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากข้อตกลงเหล่านี้ขยายครอบคลุมไปถึงบริการดิจิทัลและการลงทุนระหว่างประเทศ ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียงแค่การค้าสินค้า

นอกจากนี้ ผลเชิงบวกจะยิ่งทวีความชัดเจนขึ้นในระยะยาว เพราะเมื่อการลดความไม่แน่นอนทางนโยบายเปิดทางให้กับการเติบโตของผลิตภาพที่รวดเร็วขึ้น เศรษฐกิจแต่ละประเทศจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการรับมือกับแรงกระแทกจากภายนอก และระบบเศรษฐกิจโดยรวมก็จะมั่นคงขึ้นภายใต้แรงเสียดทานที่ลดลง ข้อตกลงการค้าใหม่ที่น่าเชื่อถืออาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสการปฏิรูปรอบใหม่ในเวทีโลก กระตุ้นให้รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับนโยบายแรงงานที่ยกระดับทักษะแรงงาน การลดอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้ายแรงงาน และการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการแข่งขันและนวัตกรรมมากขึ้น

ดังนั้น ประเทศต่าง ๆ ควรเร่งสร้างกรอบนโยบายการค้าที่ชัดเจน โปร่งใส และตอบโจทย์ความเป็นจริงทางเศรษฐกิจของโลกยุคใหม่ โดย IMF ระบุว่า ความร่วมมือเชิงปฏิบัติที่เป็นจริงได้ คือหัวใจของการลดแรงเสียดทานทางเศรษฐกิจในระยะยาว

นอกจากนี้ ในบางกรณี การเจรจาในระดับพหุภาคีเฉพาะกลุ่ม หรือแม้แต่ระดับภูมิภาค อาจมีบทบาทสำคัญไม่แพ้กรอบระดับโลก ขณะเดียวกัน การเจรจาแบบทวิภาคีก็ยังจำเป็น โดยเฉพาะในบริบทที่ต้องคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้า แต่ต้องไม่เพิ่มแรงกระแทกให้กับประเทศคู่ค้าอื่นผ่านมาตรการแทรกซ้อน การเจรจาเหล่านี้ควรมุ่งตรงไปยังต้นตอของปัญหา ได้แก่ ความไม่สมดุลที่เกิดจากนโยบายภายในประเทศ เช่น การอุดหนุนที่บิดเบือนโครงสร้างตลาด การปกป้องผู้ส่งออก หรือการใช้ภาษีเพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง

หากจำเป็นต้องใช้นโยบายอุตสาหกรรม รัฐควรออกแบบให้มีเป้าหมายจำกัด และมุ่งจัดการกับความล้มเหลวของตลาด หรือผลกระทบภายนอกที่ประเมินค่าได้เท่านั้น เพื่อป้องกันการบิดเบือนกลไกตลาดระหว่างประเทศในวงกว้าง ความร่วมมือที่จริงจังในด้านนี้จะช่วยลดความตึงเครียดเชิงนโยบายระหว่างประเทศ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อเศรษฐกิจโลกมากยิ่งขึ้น


แชร์
IMFขยับเป้าGDPไทยปี68เป็น2% แรงกดดันภาษีทรัมป์แผ่ว แต่อนาคตยังเปราะบาง