หลังจากเศรษฐกิจโลกตกอยู่ในความผันผวนมาหลายเดือน โลกเริ่มเห็นสัญญาณของการฟื้นตัวที่ดีเกินคาดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนชัดในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook Update) ฉบับเดือนกรกฎาคมว่า แรงส่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังเป็น “แรงหนุนชั่วคราว” ไม่ใช่การฟื้นตัวเชิงโครงสร้างที่มั่นคง โดยปัจจัยหลักมาจากการเร่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจก่อนการขึ้นภาษี (frontloading) อัตราภาษีเฉลี่ยที่แท้จริงของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาด และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ซึ่งช่วยคลายแรงตึงตัวในระบบการเงินโลก
ประเทศไทยเองก็ได้รับแรงกระเพื่อมจากปัจจัยเดียวกัน โดย IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยปี 2568 เป็น 2.0% จากเดิม 1.8% และปี 2569 เป็น 1.7% จากเดิม 1.6% แม้จะเป็นข่าวดีเชิงตัวเลข แต่ก็สะท้อนเพียงแรงกระตุ้นระยะสั้นที่ยังไม่สามารถชดเชยข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง เช่น ศักยภาพการเติบโตที่ต่ำ การลงทุนที่ยังอ่อนแรง และความไม่แน่นอนด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากนี้ แม้จะมีการปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตปี 2568 ขึ้นเป็น 3.0% (เพิ่มขึ้น 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์จากเดือนเมษายน) และ 3.1% ในปี 2569 แต่ IMF เน้นย้ำว่าความเสี่ยงด้านลบยังคงมีอยู่มาก ทั้งจากนโยบายภาษีของสหรัฐที่อาจเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน ความเปราะบางทางการคลังในหลายประเทศ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจสร้างแรงกระแทกต่อห่วงโซ่อุปทานโลกได้ตลอดเวลา
ตามรายงานประจำเดือนกรกฎาคม 2568 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยข้อมูลคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยระบุว่าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)ของไทยในปี 2568 จะอยู่ที่ 2.0% ในปี 2568 และลดลงเป็น 1.7% ในปี 2569 ซึ่งสะท้อนภาพการฟื้นตัวที่ยังเปราะบางและชะลอตัวลงในระยะปานกลา
เมื่อเปรียบเทียบกับประมาณการในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook: WEO) ฉบับเดือนเมษายน 2568 IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 ขึ้นอีก 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์ และปรับเพิ่มคาดการณ์ของปี 2569 อีก 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์ สะท้อนมุมมองที่ดีขึ้นในบางปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงอยู่ในกรอบการขยายตัวที่ต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งเน้นย้ำความจำเป็นของการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาวต่อไป
สำหรับภาพรวมกลุ่มประเทศ ASEAN-5 ซึ่งประกอบด้วยอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย รายงานฉบับเดือนกรกฎาคมระบุว่า GDP ที่แท้จริงของกลุ่มนี้ขยายตัวที่ 4.1% เท่ากันในปี 2568 และ 2569 โดย IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของกลุ่ม ASEAN-5 ในปี 2568 ขึ้น 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์ และปี 2569 ขึ้น 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์
ในรายละเอียดรายประเทศ อินโดนีเซียคาดว่า GDP จะขยายตัวที่ 4.8% ในปี 2568 และ 2569 โดยตัวเลขในปี 2568 และ 2569 ได้รับการปรับเพิ่มขึ้น 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์จากประมาณการเดิม
ในกรณีของมาเลเซีย IMF คาดว่า GDP จะเติบโต 4.5% ในปี 2568 และ 4.0% ในปี 2569 โดยประมาณการปี 2568 ได้รับการปรับเพิ่มขึ้น 0.4 จุดเปอร์เซ็นต์ และปี 2569 เพิ่มขึ้น 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์
ด้านฟิลิปปินส์ยังคงแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดย IMF คาดว่า GDP จะเติบโตที่ 5.5% ในปี 2568 และ 5.9% ในปี 2569 ได้รับการปรับเพิ่มขึ้น 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์ ในปี 2569
ในส่วนของเศรษฐกิจโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 ในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นร้อยละ 3.1 ในปี 2569 โดยประมาณการล่าสุดสำหรับปี 2568 ได้ปรับเพิ่มขึ้น 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์จากรายงาน World Economic Outlook (WEO) ฉบับเดือนเมษายน 2568 ขณะที่การคาดการณ์สำหรับปี 2569 ก็ขยับขึ้น 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์
การปรับประมาณการดังกล่าวสะท้อนถึงปัจจัยหลายประการ ได้แก่
ทั้งนี้ IMF ย้ำว่าความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังคงเอนเอียงไปในทิศทางลบเช่นเดียวกับการประเมินในรายงานเดือนเมษายน หากอัตราภาษีที่แท้จริงกลับมาเพิ่มสูงขึ้น อาจเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้ออาจเริ่มส่งผลกระทบมากขึ้นต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหากกำหนดเวลาการบังคับใช้ภาษีนำเข้าเพิ่มเติมผ่านพ้นไปโดยไม่มีความคืบหน้าในข้อตกลงการค้าที่ถาวรและเป็นรูปธรรม
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ IMF ระบุ ได้แก่
ในด้านบวก IMF ระบุว่าหากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศนำไปสู่กรอบความร่วมมือที่ชัดเจนและการลดระดับภาษีนำเข้า อาจส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกให้ดียิ่งขึ้นได้
ทั้งนี้ IMF เน้นย้ำถึงความจำเป็นของนโยบายภาครัฐที่ต้องมุ่งสร้างความเชื่อมั่น ความคาดการณ์ได้ และความยั่งยืนในระยะยาว โดยการลดความตึงเครียดทางการค้า รักษาเสถียรภาพด้านราคาและตลาดการเงิน ฟื้นฟูฐานะการคลัง และผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างมั่นคง
จากรายงานของ IMF แม้จะมีการปรับประมาณการการเติบโตขึ้นในหลายประเทศ แต่การปรับขึ้นในบางประเทศ เช่น จีน มีความชัดเจนมากกว่าประเทศอื่น การเร่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจล่วงหน้า (frontloading) คาดว่าจะเริ่มคลี่คลายลงในไตรมาสถัดไป โดยผลสะท้อนในปี 2569 จะส่งผลกดดันต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่จะถูกชดเชยบางส่วนจากปัจจัยอื่น ทำให้การเติบโตในภาพรวมยังถูกปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สหรัฐอเมริกา คาดว่าจะเติบโต 1.9% ในปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์จากประมาณการเดือนเมษายน จากอัตราภาษีที่ต่ำกว่าที่ประกาศเมื่อ 2 เมษายน และสภาพคล่องทางการเงินที่ผ่อนคลายลง แม้ว่าความต้องการภาคเอกชนจะเริ่มชะลอเร็วกว่าคาด และแรงขับเคลื่อนจากการอพยพจะอ่อนลง
ในปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 2.0% เพิ่มขึ้น 0.3 จุดเปอร์เซ็นต์จากเดือนเมษายน โดยได้รับแรงกระตุ้นระยะสั้นจากมาตรการ OBBBA ผ่านแรงจูงใจด้านภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนของภาคธุรกิจ
IMF คาดว่า OBBBA จะช่วยเพิ่มผลิตภาพของสหรัฐโดยเฉลี่ยราว 0.5% จนถึงปี 2573 เมื่อเทียบกับสมมติฐานพื้นฐานที่ไม่มีมาตรการนี้
ยูโรโซน คาดว่า GDP จะเติบโต 1.0% ในปี 2568 และ 1.2% ในปี 2569 การปรับขึ้น 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์ในปี 2568 มีสาเหตุหลักจากผลการเติบโตที่แข็งแกร่งของไอร์แลนด์ในไตรมาสแรก แม้ไอร์แลนด์จะคิดเป็นไม่ถึง 5% ของ GDP ยูโรโซนก็ตาม โดยเกิดจากการส่งออกยาไปยังสหรัฐที่เพิ่มขึ้นมากและการเปิดโรงงานใหม่ หากไม่นับไอร์แลนด์ การปรับขึ้นจะเหลือเพียง 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์
สำหรับปี 2569 การคาดการณ์ยังคงเดิม โดยแรงผลักจากการเร่งกิจกรรมจะจางลง และเศรษฐกิจจะกลับสู่ระดับศักยภาพ ขณะที่งบประมาณกลาโหมที่ปรับใหม่คาดว่าจะเริ่มส่งผลตั้งแต่ปีถัดไปจนถึงปี 2578
ประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 1.6% ในปี 2568 และเพิ่มเป็น 2.1% ในปี 2569
อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของค่าเงินในบางประเทศได้ลดทอนผลบวกจากสภาวะการเงินที่ผ่อนคลาย ขณะที่อัตราภาษีที่แท้จริงยังคงเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าชิ้นส่วนรถยนต์ในเดือนพฤษภาคม และการเพิ่มภาษีเหล็กและอลูมิเนียมเป็นสองเท่าในเดือนมิถุนายน
จีน คาดว่าการเติบโตในปี 2568 จะอยู่ที่ 4.8% ปรับเพิ่มขึ้น 0.8 จุดเปอร์เซ็นต์จากเดือนเมษายน การปรับนี้สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาดในช่วงครึ่งแรกของปี และการลดภาษีศุลกากรระหว่างจีนกับสหรัฐ โดยตัวเลข GDP ไตรมาสแรกเพียงอย่างเดียวก็ผลักประมาณการขึ้นอัตโนมัติ 0.6 จุดเปอร์เซ็นต์ ในช่วงครึ่งหลังของปี การฟื้นตัวของการสะสมสินค้าคงคลังจะช่วยชดเชยผลจากการเร่งกิจกรรมล่วงหน้า ปี 2569 การเติบโตคาดว่าจะอยู่ที่ 4.2% ปรับเพิ่มขึ้น 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์ จากอัตราภาษีที่ลดลงเช่นกัน
อินเดีย คาดว่าจะเติบโต 6.4% ทั้งในปี 2568 และ 2569 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนเมษายน สะท้อนสภาพแวดล้อมภายนอกที่เอื้ออำนวยมากกว่าที่เคยประเมิน
ตะวันออกกลางและเอเชียกลาง คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.4% ในปี 2568 และ 3.5% ในปี 2569
แอฟริกาตอนใต้ทะเลทรายซาฮารา คาดว่าเศรษฐกิจจะทรงตัวที่ 4.0% ในปี 2568 และเร่งขึ้นเป็น 4.3% ในปี 2569
ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอลงเหลือ 2.2% ในปี 2568 และฟื้นกลับขึ้นเป็น 2.4% ในปี 2569
ยุโรปตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา คาดว่าจะเติบโต 1.8% ในปี 2568 และ 2.2% ในปี 2569 ซึ่งยังถือว่าอ่อนแอ
ปริมาณการค้าโลก ถูกปรับเพิ่ม 0.9 จุดเปอร์เซ็นต์ในปี 2568 และปรับลดลง 0.6 จุดเปอร์เซ็นต์ในปี 2569 โดยแรงส่งจาก frontloading คาดว่าจะจางลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และมีผลกระทบย้อนกลับในปี 2569 ดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงยิ่งซ้ำเติมผลกระทบจากภาษี นำไปสู่การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสหรัฐฯ ที่มาตรการการคลังแบบขยายตัวยังกลบผลได้ในที่สุด
อัตราเงินเฟ้อโลก คาดว่าจะลดลงเหลือ 4.2% ในปี 2568 และ 3.6% ในปี 2569 โดยยังคงแนวโน้มจากเดือนเมษายน ทั้งจากอุปสงค์ที่ชะลอตัว และราคาพลังงานที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเงินเฟ้อแตกต่างกันในแต่ละประเทศ โดยภาษีที่เพิ่มขึ้นถือเป็นแรงกระแทกด้านอุปทานในสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะส่งผ่านไปยังราคาผู้บริโภคในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ขณะที่ในประเทศอื่น ภาษีมีผลลดแรงกดดันเงินเฟ้อ
สหรัฐฯ คาดว่าเงินเฟ้อจะยังเกินเป้าหมาย 2% ไปจนถึงปี 2569 ส่วนยูโรโซนมีแนวโน้มชะลอลงจากค่าเงินแข็งและมาตรการการคลังชั่วคราว ส่วนจีน แม้เงินเฟ้อทั่วไปใกล้เคียงกับประมาณการเดิม แต่เงินเฟ้อพื้นฐานถูกปรับเพิ่มเล็กน้อยเป็น 0.5% ในปี 2568 และ 0.8% ในปี 2569 จากอัตราเงินเฟ้อล่าสุดที่สูงกว่าคาด และผลของการลดภาษี
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงสามารถทรงตัวได้ในระยะสั้นตามรายงานฉบับปรับปรุงของ IMF แต่แนวโน้มโดยรวมยังคงเผชิญกับความเสี่ยงในทิศทางขาลง ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินในรายงาน World Economic Outlook (WEO) ฉบับเดือนเมษายน ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า การเมืองระหว่างประเทศ เสถียรภาพทางการคลัง และภาวะการเงินโลก ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงกดดันต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
สมดุลของนโยบายการค้าระหว่างประเทศยังคงเปราะบาง และถูกใช้เป็นฐานสมมติในแบบจำลองการคาดการณ์เศรษฐกิจ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือการปรับท่าทีเชิงนโยบายแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจกระตุ้นให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะตึงเครียดอีกครั้ง ทั้งในรูปของอัตราภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น ความล้มเหลวของการเจรจา และการฟื้นมาตรการกีดกันทางการค้าในระดับที่รุนแรงขึ้น
กรณีที่สหรัฐฯ ตัดสินใจดำเนินการตามแผนที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน โดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นหรือสูงกว่านั้นภายในวันที่ 1 สิงหาคม รวมถึงการบังคับใช้ภาษีในอัตราสูงถึง 50% สำหรับทองแดง จะส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก จากแบบจำลองของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) พบว่า หากสหรัฐฯ นำอัตราภาษีตามประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายนและจดหมายเตือนเมื่อ 14 กรกฎาคมมาบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ อัตราการเติบโตของ GDP โลกในปี 2568 อาจหดตัวลงถึง 0.2 จุดเปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ ภาษีที่เรียกเก็บในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น อิเล็กทรอนิกส์และเภสัชภัณฑ์ อาจทำให้อัตราภาษีที่แท้จริงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมสร้างคอขวดในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ขณะเดียวกัน มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีซึ่งมุ่งควบคุมการนำเข้าวัตถุดิบและปัจจัยการผลิต อาจยิ่งบิดเบือนกลไกการค้าสากลให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
หากเกิดภาวะ “กลยุทธ์เสริมกัน” (strategic complementarities) ในระดับอุตสาหกรรม เช่น เมื่อบริษัทหนึ่งปรับราคาสินค้าแล้วคู่แข่งรายอื่น ๆ ปรับราคาตามอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์อาจนำไปสู่ภาวะราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นวงจรเงินเฟ้อที่ฝังลึกและยืดเยื้อในหลายประเทศ
แม้ในกรณีที่อัตราภาษียังไม่เปลี่ยนแปลงจากสมมติฐานพื้นฐาน แต่ระดับความไม่แน่นอนที่สูงมากยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ เดินหน้าบังคับใช้นโยบายการค้าใหม่โดยไม่มีกรอบข้อตกลงถาวรรองรับ ความไม่แน่นอนนี้อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน กระทบต่อการลงทุนในห่วงโซ่การผลิตระหว่างประเทศ ทั้งในโครงสร้างเดิมและที่กำลังก่อรูปใหม่ ส่งผลให้การผลิตและการส่งออกของประเทศที่พึ่งพาการค้าโลกชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและยูเครนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกระตุ้นให้เกิดช็อกด้านอุปทานรอบใหม่ เส้นทางเดินเรือสำคัญอาจถูกปิดกั้น และห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอาจหยุดชะงัก หากโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งได้รับความเสียหาย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมัน อาจพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์คือการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงและแรงกดดันเงินเฟ้อที่กลับมาอีกระลอก
ในสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ ธนาคารกลางหลายแห่งอาจเผชิญภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากขึ้น เมื่อต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความจำเป็นในการควบคุมเงินเฟ้อกับการประคองกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแรง
ความเปราะบางทางการคลังในหลายประเทศได้กลายเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยเฉพาะในประเทศที่มีหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณในระดับสูง เช่น บราซิล ฝรั่งเศส และสหรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว
ในกรณีของสหรัฐ หากความเชื่อมั่นในความยั่งยืนทางการคลังลดลง อาจส่งผลให้ส่วนต่างผลตอบแทน (term premium) เพิ่มสูงขึ้น จนนำไปสู่ความผันผวนของตลาดการเงินโลก และอาจกระทบต่อสภาพคล่องโดยรวม โดยเฉพาะในบริบทของความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการแบ่งแยกเศรษฐกิจโลก (geoeconomic fragmentation) และระบบการเงินระหว่างประเทศที่ยังคงอิงกับดอลลาร์สหรัฐ (ดูรายงานภาคนอกประเทศ 2025)
เศรษฐกิจโลกในครึ่งแรกของปี 2568 ได้รับแรงผลักดันจากการเร่งดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจล่วงหน้า (frontloading) เช่น การนำเข้าสินค้าก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับ แต่ปรากฏการณ์นี้อาจสร้างความเสี่ยงในระยะต่อไป หากอุปสงค์ไม่เกิดขึ้นตามที่คาด
กรณีที่เกิดภาวะสินค้าคงคลังล้นเกิน (inventory overhang) บริษัทอาจต้องเผชิญกับต้นทุนการเก็บรักษาที่สูงขึ้น และความเสี่ยงจากการด้อยค่าของทรัพย์สิน โดยเฉพาะหากสินค้าสะสมไว้กลายเป็นของล้าสมัยหรือไม่ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภค ขณะที่สภาพการเงินที่อาจกลับมาตึงตัวขึ้นก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อผู้ประกอบการ
แม้เศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ไม่ว่าจะจากภาษีนำเข้า การเมืองระหว่างประเทศ หรือความเปราะบางเชิงโครงสร้าง แต่การคาดการณ์ของ IMF ก็ยังมีมุมของความเป็นไปได้เชิงบวก ที่อาจเกิดขึ้นหากโลกสามารถก้าวไปสู่กรอบความร่วมมือทางการค้าที่มั่นคงและมีเสถียรภาพ
IMF มองว่า หากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศสามารถบรรลุข้อตกลงที่ชัดเจนและคาดการณ์ได้ ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจหมายถึงการลดลงอย่างต่อเนื่องของอัตราภาษีที่แท้จริง และการคลายตัวของมาตรการกีดกันทางการค้าในทุกรูปแบบ ความแน่นอนที่เกิดขึ้นจากกรอบกติกาที่ชัดเจนจะช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความเชื่อมั่นในการลงทุน และส่งเสริมให้ธุรกิจกล้าตัดสินใจในเชิงรุกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากข้อตกลงเหล่านี้ขยายครอบคลุมไปถึงบริการดิจิทัลและการลงทุนระหว่างประเทศ ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียงแค่การค้าสินค้า
นอกจากนี้ ผลเชิงบวกจะยิ่งทวีความชัดเจนขึ้นในระยะยาว เพราะเมื่อการลดความไม่แน่นอนทางนโยบายเปิดทางให้กับการเติบโตของผลิตภาพที่รวดเร็วขึ้น เศรษฐกิจแต่ละประเทศจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการรับมือกับแรงกระแทกจากภายนอก และระบบเศรษฐกิจโดยรวมก็จะมั่นคงขึ้นภายใต้แรงเสียดทานที่ลดลง ข้อตกลงการค้าใหม่ที่น่าเชื่อถืออาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสการปฏิรูปรอบใหม่ในเวทีโลก กระตุ้นให้รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับนโยบายแรงงานที่ยกระดับทักษะแรงงาน การลดอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้ายแรงงาน และการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการแข่งขันและนวัตกรรมมากขึ้น
ดังนั้น ประเทศต่าง ๆ ควรเร่งสร้างกรอบนโยบายการค้าที่ชัดเจน โปร่งใส และตอบโจทย์ความเป็นจริงทางเศรษฐกิจของโลกยุคใหม่ โดย IMF ระบุว่า ความร่วมมือเชิงปฏิบัติที่เป็นจริงได้ คือหัวใจของการลดแรงเสียดทานทางเศรษฐกิจในระยะยาว
นอกจากนี้ ในบางกรณี การเจรจาในระดับพหุภาคีเฉพาะกลุ่ม หรือแม้แต่ระดับภูมิภาค อาจมีบทบาทสำคัญไม่แพ้กรอบระดับโลก ขณะเดียวกัน การเจรจาแบบทวิภาคีก็ยังจำเป็น โดยเฉพาะในบริบทที่ต้องคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้า แต่ต้องไม่เพิ่มแรงกระแทกให้กับประเทศคู่ค้าอื่นผ่านมาตรการแทรกซ้อน การเจรจาเหล่านี้ควรมุ่งตรงไปยังต้นตอของปัญหา ได้แก่ ความไม่สมดุลที่เกิดจากนโยบายภายในประเทศ เช่น การอุดหนุนที่บิดเบือนโครงสร้างตลาด การปกป้องผู้ส่งออก หรือการใช้ภาษีเพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง
หากจำเป็นต้องใช้นโยบายอุตสาหกรรม รัฐควรออกแบบให้มีเป้าหมายจำกัด และมุ่งจัดการกับความล้มเหลวของตลาด หรือผลกระทบภายนอกที่ประเมินค่าได้เท่านั้น เพื่อป้องกันการบิดเบือนกลไกตลาดระหว่างประเทศในวงกว้าง ความร่วมมือที่จริงจังในด้านนี้จะช่วยลดความตึงเครียดเชิงนโยบายระหว่างประเทศ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อเศรษฐกิจโลกมากยิ่งขึ้น