Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ทั่วโลกตุนทองพุ่งหนีดอลลาร์ เปิด 10 ประเทศถือทองสูงสุด ไทยอันดับไหน?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ทั่วโลกตุนทองพุ่งหนีดอลลาร์ เปิด 10 ประเทศถือทองสูงสุด ไทยอันดับไหน?

22 ก.ย. 68
15:16 น.
แชร์

ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อการถือครองทองคำรวมกันมีมูลค่าสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2539 ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่ากระแส “ลดการพึ่งพาดอลลาร์” (de-dollarization) กำลังเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจน ภายใต้แรงกดดันจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการที่ค่าเงินสหรัฐฯ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

ข้อมูลจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ระบุว่าภายในกลางปี 2568 ธนาคารกลางทั่วโลกถือครองทองคำรวมประมาณ 36,000 ตัน ขณะที่ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) รายงานว่า ณ สิ้นปี 2566 ปริมาณการถือครองแตะ 36,700 ตัน ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนการสะสมที่เร่งขึ้นต่อเนื่องตลอดสามปีที่ผ่านมา โดยในแต่ละปีมีการซื้อเกิน 1,000 ตัน มากกว่าสองเท่าของค่าเฉลี่ยในทศวรรษก่อนหน้า เพียงไตรมาส 2 ปี 2567 ก็มีการซื้อสุทธิเพิ่มอีก 183 ตัน ทำให้กลายเป็นไตรมาสที่ 14 ติดต่อกันของการซื้อทองคำตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2563

ในอีกด้าน ราคาทองคำเองก็ทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยในปี 2568 ทะลุ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นกว่า 35% นับตั้งแต่ต้นปี และพุ่งเกิน 100% ภายในเวลาไม่ถึงสามปี ส่งผลให้มูลค่าทองคำสำรองรวมของธนาคารกลางแตะประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้ามูลค่าการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ราว 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันทองคำจึงคิดเป็นราว 27% ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลก แม้จะยังต่ำกว่าจุดสูงสุดในทศวรรษ 1970 ที่ระดับ 74% แต่ก็สะท้อน “พื้นที่การเติบโต” ที่ยังเหลืออีกมากในอนาคต

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงสถิติที่น่าจับตา แต่คือการ “จัดระเบียบใหม่” ของระบบทุนสำรองโลก และการตีความใหม่ต่อคำว่าสินทรัพย์ปลอดภัย ทองคำไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครดิตหรือการรับประกันจากรัฐบาลใด ปราศจากความเสี่ยงด้านคู่สัญญาหรือเขตอำนาจศาล อีกทั้งยังเป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้อที่พิสูจน์แล้วในระยะยาว ความจริงที่ว่าทองคำสามารถก้าวขึ้นมาเหนือดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์สำรองหลักได้ จึงอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเคลื่อนสู่ระบบการเงินโลกแบบหลายขั้ว (multipolar system) ตามแนวทาง de-dollarization ที่นักวิชาการอย่าง Gal Luft เคยอธิบายไว้ในงาน De-dollarization: The Revolt Against the Dollar and the Rise of a New Financial World Order ว่าเป็นความพยายามของรัฐต่าง ๆ ที่ลดการพึ่งพาดอลลาร์ในด้านการค้า การเงิน และทุนสำรอง และแทนที่ด้วยสินทรัพย์อื่น โดยที่ทองคำกำลังขึ้นมาเป็นตัวเลือกหลักและทรงพลังที่สุด

โลกหลังดอลลาร์ การกลับมาของทองคำในฐานะเสาหลักของความมั่นคง

แรงผลักสำคัญที่เร่งกระแสการตุนทองทั่วโลกนี้คือการอายัดเงินทุนสำรองต่างประเทศของรัสเซียกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์โดยสหรัฐฯ และพันธมิตรในปี 2565 ซึ่งส่งสัญญาณชัดเจนว่าสินทรัพย์ที่ผูกกับดอลลาร์ไม่ปลอดภัยจากการเมืองอีกต่อไป ภายหลังเหตุการณ์นั้น ธนาคารกลางเร่งเพิ่มทองคำเข้าสู่ทุนสำรองเพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยเพียงไตรมาสแรกของปี 2568 ก็มีการซื้อทองคำเพิ่มถึง 244 ตัน ขณะที่กองทุน ETF ที่มีทองคำหนุนหลังมียอดเงินไหลเข้าสูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์ 

รายงานของสภาทองคำโลกระบุว่า 76% ของธนาคารกลางทั่วโลกมีแผนจะเพิ่มการถือครองทองคำในอีกห้าปีข้างหน้า เพิ่มจาก 69% ในปีก่อน และ 75% มีแผนลดการถือครองสินทรัพย์ที่ผูกกับดอลลาร์ เพิ่มจาก 62% ในปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ เหตุผลเชิงกลยุทธ์ที่ธนาคารกลางหันมาถือทองคำก็มีหลายประการ ประการแรกคือการป้องกันการเสื่อมค่าของสกุลเงิน เนื่องจากในปี 2566 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ G7 อยู่ที่ 4.1% สูงกว่าเป้าหมายมาตรฐานที่ 2% ถึงสองเท่า ทองคำจึงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าได้ในยามที่สกุลเงินกระดาษเผชิญแรงกดดัน 

ประการที่สองคือการลดการพึ่งพาดอลลาร์และระบบที่สหรัฐฯ ครอบงำ โดยข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐฯ ระบุว่าการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ โดยต่างชาติลดลงถึง 76,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2558 นอกจากนี้ยังเป็นความพยายามลดความเสี่ยงจากมาตรการคว่ำบาตร และลดการพึ่งพาระบบ SWIFT ที่ประมวลธุรกรรมข้ามพรมแดนสูงถึง 150 ล้านล้านดอลลาร์ในปีเดียว

อีกปัจจัยสำคัญคือการเตรียมรับ “วิวัฒนาการใหม่” ของระบบการเงินโลก ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ชี้ว่าสัดส่วนดอลลาร์ในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลกลดลงเหลือ 58.4% ในไตรมาส 4 ปี 2566 จาก 71% ใน ปี 2542 การลดลงต่อเนื่องนี้สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างของระบบเงินสำรองที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปสู่การมีหลายสกุลเงินและหลายฐานะสินทรัพย์ ธนาคารกลางกำลังเตรียมรับความเป็นไปได้ของการเกิดสกุลเงินสำรองใหม่ ๆ การใช้สกุลเงินที่มีโภคภัณฑ์หนุนหลัง และแม้กระทั่งการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่หรือการมาถึงของสกุลเงินดิจิทัล

ตัวเลขจากประเทศต่าง ๆ ตอกย้ำแนวโน้มนี้ สหรัฐฯ เยอรมนี อิตาลี ฝรั่งเศส และรัสเซีย ถือครองทองคำรวมกันกว่า 18,700 ตัน หรือกว่าครึ่งหนึ่งของทุนสำรองโลก จีนถือครองทองคำ 2,300.4 ตัน แม้นักวิเคราะห์เชื่อว่าตัวเลขจริงควรสูงกว่านี้มาก อินเดียทยอยเพิ่มทองคำและลดพันธบัตรสหรัฐฯ ขณะที่โปแลนด์เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดใน พ.ศ. 2567 โดยเพิ่มขึ้น 90 ตันจนมีรวม 448 ตัน หรือ 17% ของทุนสำรองประเทศ ส่วนตุรกีเพิ่มอีก 75 ตันในปีเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงนี้ยังสะท้อนในระบบการค้าระหว่างประเทศ หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่ม BRICS และตลาดเกิดใหม่ หันมาใช้การชำระเงินด้วยสกุลเงินท้องถิ่น สร้างข้อตกลงแลกเปลี่ยนเงินตราสองฝ่าย และมองหาทางเลือกแทนระบบ SWIFT ทั้งหมดนี้คือการส่งสัญญาณชัดเจนว่าโลกกำลังลดการพึ่งพาดอลลาร์อย่างจริงจัง

แม้ดอลลาร์ยังคงเป็นเงินสำรองหลัก แต่สถานะ “ไร้คู่แข่ง” กำลังถูกสั่นคลอน ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาเป็นตัวเต็งการเลือกตั้งในปี 2567 ยิ่งเร่งกระแสนี้ ราคาทองคำพุ่งขึ้นถึง 45% นับตั้งแต่เขากลับมาเป็นผู้สมัครนำ สะท้อนความกังวลของตลาดโลกต่อทิศทางนโยบายสหรัฐฯ ที่ถูกวิจารณ์ว่าไม่แน่นอน เอาแต่ใจ และสร้างความขัดแย้งกับพันธมิตร ภาพลักษณ์นี้ทำให้ผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกตั้งคำถามกับความน่าเชื่อถือของดอลลาร์ และหันไปหาสินทรัพย์ที่มั่นคงกว่าอย่างทองคำ

ดังนั้นทองคำที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็น “ซากดึกทางการเงิน” จึงกลับมาอยู่ใจกลางของระบบการเงินโลกอีกครั้ง และกำลังกลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคใหม่ที่โลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ระบบการเงินแบบ “หลังดอลลาร์”

เปิด 10 ประเทศถือทองคำมากที่สุด ไทยอยู่ตรงไหน?

สำหรับประเทศที่ถือครองทองคำมากที่สุดในปัจจุบัน ข้อมูลจาก Trading Economics ระบุว่า ในเดือนมิถุนายน ปี 2568 สหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นผู้นำโลกด้านทองคำสำรอง โดยถือครองสูงถึง 8,133 ตัน หากคิดจากราคา Spot Gold ในวันที่ 22 กันยายน เวลา 15.00 น. ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3,713 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จะมีมูลค่าทั้งหมด 966,330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เยอรมนีอยู่ในอันดับสองด้วยการถือครองทองคำ 3,350 ตัน มูลค่ากว่า 398,033 ล้านดอลลาร์ อิตาลีและฝรั่งเศส ซึ่งตามเยอรมนีมาในอันดับสามและสี่ มีการถือครองใกล้เคียงกัน โดยอิตาลีมีทองคำ 2,452 ตัน (มูลค่า 291,336.8 ล้านดอลลาร์) ส่วนฝรั่งเศสมีทองคำ 2,437 ตัน (มูลค่า 289,554 ล้านดอลลาร์) 

รัสเซีย ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 5 ถือครองทองคำ 2,330 ตัน มูลค่า 276,841 ล้านดอลลาร์ ส่วนจีน ผู้ถือทองอันดับที่ 6 ของโลก ซึ่งมีทุนสำรองมหาศาลกว่า 3.46 ล้านล้านดอลลาร์ ถือครองทองคำ 2,299 ตัน (มูลค่า 273,158 ล้านดอลลาร์) 

ด้านสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 7 มีทองคำ 1,040 ตัน คิดเป็นมูลค่า 123,568.6 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ อินเดีย ผู้ถือทองอันดับที่ 8 ของโลก ถือครอง 880 ตัน มูลค่า 104,558 ล้านดอลลาร์ 

ด้านญี่ปุ่น แม้จะมีทุนสำรองรวมสูงกว่า 1.23 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ทองคำมีเพียง 846 ตัน (มูลค่า 100,518 ล้านดอลลาร์) ในขณะที่ตุรกี ผู้ถือทองอันดับที่ 10 ของโลก ถือครองทองคำ 635 ตัน (มูลค่า 75,448 ล้านดอลลาร์) 

ส่วนประเทศไทย ปัจจุบันถือครองทองมากที่สุดเป็นอันดับที่ 23 ของโลก ถือครองทองคำทั้งหมด 235 ตัน คิดเป็นมูลค่า 27,921.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


แชร์
ทั่วโลกตุนทองพุ่งหนีดอลลาร์ เปิด 10 ประเทศถือทองสูงสุด ไทยอันดับไหน?