ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (World Bank-IMF) ในเดือนตุลาคม 2569
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นี่คือหมุดหมายสำคัญของวงการเศรษฐกิจการเงินไทย และเป็นโอกาสให้ไทยได้แสดงบทบาทในการร่วมกำหนดทิศทางนโยบายเศรษฐกิจโลก ตลอดจนนำเสนอยุทธศาสตร์ของประเทศเพื่อรับมือกับยุคแห่งความไม่แน่นอน
นับเป็นหมุดหมายที่สำคัญอย่างยิ่งต่อวงการเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ เมื่อประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (World Bank-IMF) ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม 2569
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมประจำปีดังกล่าว ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเวทีสำคัญที่สุดของระบบการเงินระหว่างประเทศ การรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของไทย
"การเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ เป็นโอกาสให้ประเทศไทยได้แสดงบทบาทในฐานะผู้ร่วมกำหนดทิศทางนโยบายเศรษฐกิจโลก และเป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอยุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเงินในยุคแห่งความไม่แน่นอน" นายวรภัค กล่าว
กำเนิดและบทบาทของ 2 องค์กรหลักแห่ง Bretton Woods
เพื่อทำความเข้าใจความสำคัญของการประชุมนี้ จำเป็นต้องย้อนไปถึงจุดกำเนิดของทั้งสององค์กร ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ตัวแทนจาก 44 ประเทศทั่วโลกได้เข้าร่วมประชุมกันที่เมือง Bretton Woods สหรัฐอเมริกา และได้ร่วมกันก่อตั้ง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ ธนาคารโลก (หรือในชื่อทางการคือ International Bank for Reconstruction and Development: IBRD) ขึ้น
แม้จะถือกำเนิดพร้อมกัน แต่ทั้งสององค์กรมีภารกิจที่แตกต่างกันแต่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน:
IFC (International Finance Corporation): สนับสนุนการลงทุนในภาคเอกชน
IDA (International Development Association): ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือปลอดดอกเบี้ยสำหรับประเทศที่ยากจนที่สุด
MIGA (Multilateral Investment Guarantee Agency): ทำหน้าที่ค้ำประกันความเสี่ยงทางการเมืองให้กับการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา ในปัจจุบัน World Bank ได้หันมาให้ความสำคัญมากขึ้นกับประเด็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาด และการสร้างงานที่มีคุณภาพ
ประเทศไทยมีความสัมพันธ์อันยาวนานกับทั้งสององค์กรนับตั้งแต่เข้าเป็นสมาชิกในปี 1949 (พ.ศ. 2492) โดยความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดของคนไทยคือช่วง "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ปี 2540
ในครั้งนั้น ประเทศไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ค่าเงินบาทถูกโจมตีอย่างหนักจนต้องประกาศลอยตัวค่าเงิน ส่งผลให้ไทยต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF วงเงินกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์ ภายใต้โครงการ Stand-By Arrangement เพื่อนำเงินมาพยุงเศรษฐกิจ รักษาเสถียรภาพของระบบ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางการเงินระหว่างประเทศอีกครั้ง
นายวรภัค กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังวิกฤตการณ์ปี 2540 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกรวมถึงประเทศไทย ได้เรียนรู้บทเรียนครั้งสำคัญและร่วมกันสร้างกลไกป้องกันความเสี่ยงของตนเองขึ้นมา เพื่อลดการพึ่งพา IMF เพียงอย่างเดียวในยามวิกฤต
กลไกดังกล่าวคือ มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ (Chiang Mai Initiative Multilateralization: CMIM) ซึ่งเปรียบเสมือนกองทุนเงินสำรองร่วมของภูมิภาคอาเซียน+3 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) มีมูลค่ารวมกว่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือหากเกิดวิกฤตสภาพคล่อง
นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้ง AMRO (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเฝ้าระวังเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาค คอยประเมินความเสี่ยงและให้ข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจใช้กลไก CMIM ซึ่งกลไกทั้งสองนี้สะท้อนถึงความพยายามของภูมิภาคในการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินของตนเองให้เข้มแข็งขึ้น
การที่ไทยเคยผ่านประสบการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ IMF และวันนี้ได้พัฒนามาเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ทำให้บทบาทของไทยเปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็น "ผู้รับความช่วยเหลือ" มาสู่การเป็น "ผู้ร่วมกำหนดทิศทาง" และ "ผู้ได้รับประโยชน์" จากโครงสร้างทางการเงินระหว่างประเทศ
ดังนั้น การที่ไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพการประชุม World Bank-IMF ในปี 2569 จึงไม่ได้เป็นเพียงการจัดงานอีเวนต์ระดับโลก แต่เป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งยวดในการแสดงศักยภาพและบทบาทของไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก และเป็นเวทีในการกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุกต่อความท้าทายต่างๆ ในยุคแห่งความไม่แน่นอน
นายวรภัคย้ำว่า IMF และ World Bank เป็นมากกว่าองค์กรทางการเงิน หากแต่เป็น “เสาหลักของระเบียบเศรษฐกิจโลก” (Pillars of the Global Economic Order) ที่กำหนดกรอบความร่วมมือทางการเงิน การคลัง และการพัฒนาของนานาประเทศ การประชุมใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นที่วอชิงตัน และการประชุมที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในอีก 2 ปีข้างหน้า จึงมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคอาเซียน