Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ไทยเจ้าภาพประชุมใหญ่ World Bank–IMF ปี 2569 เสริมบทบาทในเศรษฐกิจโลก
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ไทยเจ้าภาพประชุมใหญ่ World Bank–IMF ปี 2569 เสริมบทบาทในเศรษฐกิจโลก

18 ต.ค. 68
16:42 น.
แชร์

Highlight

ไฮไลต์

ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (World Bank-IMF) ในเดือนตุลาคม 2569

นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นี่คือหมุดหมายสำคัญของวงการเศรษฐกิจการเงินไทย และเป็นโอกาสให้ไทยได้แสดงบทบาทในการร่วมกำหนดทิศทางนโยบายเศรษฐกิจโลก ตลอดจนนำเสนอยุทธศาสตร์ของประเทศเพื่อรับมือกับยุคแห่งความไม่แน่นอน

นับเป็นหมุดหมายที่สำคัญอย่างยิ่งต่อวงการเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ เมื่อประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (World Bank-IMF) ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม 2569

นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมประจำปีดังกล่าว ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเวทีสำคัญที่สุดของระบบการเงินระหว่างประเทศ การรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของไทย

"การเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ เป็นโอกาสให้ประเทศไทยได้แสดงบทบาทในฐานะผู้ร่วมกำหนดทิศทางนโยบายเศรษฐกิจโลก และเป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอยุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเงินในยุคแห่งความไม่แน่นอน" นายวรภัค กล่าว

กำเนิดและบทบาทของ 2 องค์กรหลักแห่ง Bretton Woods

เพื่อทำความเข้าใจความสำคัญของการประชุมนี้ จำเป็นต้องย้อนไปถึงจุดกำเนิดของทั้งสององค์กร ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ตัวแทนจาก 44 ประเทศทั่วโลกได้เข้าร่วมประชุมกันที่เมือง Bretton Woods สหรัฐอเมริกา และได้ร่วมกันก่อตั้ง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ ธนาคารโลก (หรือในชื่อทางการคือ International Bank for Reconstruction and Development: IBRD) ขึ้น

แม้จะถือกำเนิดพร้อมกัน แต่ทั้งสององค์กรมีภารกิจที่แตกต่างกันแต่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน:

  1. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF): มีภารกิจหลักในการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินและค่าเงินของประเทศสมาชิก โดยประเทศสมาชิกจะนำเงินสำรองมาสมทบเป็น "quota" ซึ่งโควต้านี้จะใช้เป็นฐานในการกำหนดสิทธิออกเสียงและวงเงินที่แต่ละประเทศสามารถกู้ยืมได้ ภารกิจหลักของ IMF คือการเป็นที่พึ่งสุดท้ายทางการเงิน (Lender of Last Resort) ให้ความช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหาวิกฤตทางการเงินร้ายแรง เช่น ค่าเงินผันผวนอย่างหนัก หรือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดรุนแรง ปัจจุบัน บทบาทของ IMF ยังขยายไปถึงการเฝ้าระวังความเสี่ยงและความเปราะบางทางการคลัง และการสนับสนุนประเทศสมาชิกในการปรับตัวต่อความท้าทายใหม่ๆ เช่น ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
  2. ธนาคารโลก (World Bank): มุ่งเน้นการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเน้นการให้เงินกู้เพื่อการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบน้ำประปา การสร้างถนน และโรงพยาบาล นอกจากนี้ ภายใต้โครงสร้าง World Bank Group ยังมีหน่วยงานย่อยที่ทำงานในมิติต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ได้แก่

IFC (International Finance Corporation): สนับสนุนการลงทุนในภาคเอกชน
IDA (International Development Association): ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือปลอดดอกเบี้ยสำหรับประเทศที่ยากจนที่สุด
MIGA (Multilateral Investment Guarantee Agency): ทำหน้าที่ค้ำประกันความเสี่ยงทางการเมืองให้กับการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา ในปัจจุบัน World Bank ได้หันมาให้ความสำคัญมากขึ้นกับประเด็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาด และการสร้างงานที่มีคุณภาพ

ประเทศไทยมีความสัมพันธ์อันยาวนานกับทั้งสององค์กรนับตั้งแต่เข้าเป็นสมาชิกในปี 1949 (พ.ศ. 2492) โดยความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดของคนไทยคือช่วง "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ปี 2540

ในครั้งนั้น ประเทศไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ค่าเงินบาทถูกโจมตีอย่างหนักจนต้องประกาศลอยตัวค่าเงิน ส่งผลให้ไทยต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF วงเงินกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์ ภายใต้โครงการ Stand-By Arrangement เพื่อนำเงินมาพยุงเศรษฐกิจ รักษาเสถียรภาพของระบบ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางการเงินระหว่างประเทศอีกครั้ง

นายวรภัค กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังวิกฤตการณ์ปี 2540 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกรวมถึงประเทศไทย ได้เรียนรู้บทเรียนครั้งสำคัญและร่วมกันสร้างกลไกป้องกันความเสี่ยงของตนเองขึ้นมา เพื่อลดการพึ่งพา IMF เพียงอย่างเดียวในยามวิกฤต

กลไกดังกล่าวคือ มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ (Chiang Mai Initiative Multilateralization: CMIM) ซึ่งเปรียบเสมือนกองทุนเงินสำรองร่วมของภูมิภาคอาเซียน+3 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) มีมูลค่ารวมกว่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือหากเกิดวิกฤตสภาพคล่อง

นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้ง AMRO (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเฝ้าระวังเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาค คอยประเมินความเสี่ยงและให้ข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจใช้กลไก CMIM ซึ่งกลไกทั้งสองนี้สะท้อนถึงความพยายามของภูมิภาคในการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินของตนเองให้เข้มแข็งขึ้น

การที่ไทยเคยผ่านประสบการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ IMF และวันนี้ได้พัฒนามาเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ทำให้บทบาทของไทยเปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็น "ผู้รับความช่วยเหลือ" มาสู่การเป็น "ผู้ร่วมกำหนดทิศทาง" และ "ผู้ได้รับประโยชน์" จากโครงสร้างทางการเงินระหว่างประเทศ

ดังนั้น การที่ไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพการประชุม World Bank-IMF ในปี 2569 จึงไม่ได้เป็นเพียงการจัดงานอีเวนต์ระดับโลก แต่เป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งยวดในการแสดงศักยภาพและบทบาทของไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก และเป็นเวทีในการกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุกต่อความท้าทายต่างๆ ในยุคแห่งความไม่แน่นอน

นายวรภัคย้ำว่า IMF และ World Bank เป็นมากกว่าองค์กรทางการเงิน หากแต่เป็น “เสาหลักของระเบียบเศรษฐกิจโลก” (Pillars of the Global Economic Order) ที่กำหนดกรอบความร่วมมือทางการเงิน การคลัง และการพัฒนาของนานาประเทศ การประชุมใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นที่วอชิงตัน และการประชุมที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในอีก 2 ปีข้างหน้า จึงมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคอาเซียน



แชร์
ไทยเจ้าภาพประชุมใหญ่ World Bank–IMF ปี 2569 เสริมบทบาทในเศรษฐกิจโลก