
ตลาดยาลดน้ำหนักหรือยารักษาผู้ป่วยโรคอ้วนซึ่งรวมไปถึงยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน เป็นตลาดที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในตลาดที่การแข่งขันเป็นไปอย่างเข้มข้นสุดๆ
มูลค่าตลาดยาลดน้ำหนักและยารักษาโรคเบาหวานทั่วโลกในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจากการคาดการณ์ของหลายสำนัก-สถาบันคาดการณ์ ตลาดนี้จะมีมูลค่าเกิน 100,000 ล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
หากอิงตามข้อมูลจาก โกลด์แมน แซคส์ รีเสิร์ช (Goldman Sachs Research) คาดว่า มูลค่าตลาดยาลดความอ้วนจะมีมูลค่าเกิน 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2032 โดยจะเป็นมูลค่าของตลาดสหรัฐฯ 67,200 ล้านดอลลาร์ และนอกสหรัฐฯ 46,800 ล้านดอลลาร์
ผู้เล่นสำคัญในตลาดยาลดน้ำหนัก ณ ปัจจุบัน มี 2 บริษัท คือ โนโว นอร์ดิสค์ (Novo Nordisk) จากประเทศเดนมาร์ก และอีไล ลิลลี (Eli Lilly) จากสหรัฐอเมริกา สองบริษัทนี้ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันประมาณ 70% โดยฝั่ง Novo ครองส่วนแบ่งมากกว่า แต่ Lilly ก็มีพลังล้นเหลือในการไล่ตาม
Novo เป็นบริษัทยาที่มีความเชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคเลือดหายาก และโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคตับ
Novo เป็นผู้ริเริ่มพัฒนายารักษาโรคเบาหวาน โรคอ้วน และยาลดน้ำหนัก ซึ่งเมื่อพัฒนาสำเร็จก็ส่งให้ Novo เป็นเจ้าตลาดยากลุ่มนี้ และครองตลาดมาหลายปี มีความแข็งแกร่งในเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วน
ในบางช่วงที่ราคาหุ้นขึ้นสูง Novo เคยขึ้นถึงตำแหน่งบริษัทที่มูลค่าตามราคาตลาด (market cap) สูงที่สุดในยุโรป แต่หลายเดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นร่วงลง จึงทำให้อันดับร่วงลงไปด้วย แต่ก็ยังอยู่ในกลุ่มบริษัทใหญ่ 10 อันดับแรกของยุโรป
ส่วน Lilly เป็นบริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความแข็งแกร่งมากในด้านการเงิน Lilly ผลิตยาหลากหลายและขึ้นชื่อด้านการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม มีการผลิตทั้งยารักษาอัลไซเมอร์ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคผิวหนัง โรคไมเกรน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ด้วยการผลิตยาที่หลากหลายกว่า ทำให้ Lilly มีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นกว่า Novo และการเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน ก็ทำให้มีความได้เปรียบในตลาดสหรัฐฯโดยเฉพาะในสมัยรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ที่กีดกันสินค้าจากต่างประเทศและพยายามดึงการผลิตเข้าสู่สหรัฐฯ
ปัจจุบัน Lily กับ Novo มียาลดน้ำหนักและรักษาโรคเบาหวานที่เป็นเหมือนมวยคู่เอกสองคู่ที่ชกกันอยู่ ได้แก่
ยาลดน้ำหนัก:
ยารักษาเบาหวาน:
จุดเด่นในการพัฒนายาลดน้ำหนักและรักษาโรคเบาหวานของ Novo คือ ความเป็นผู้นำตลาดเดิม มีข้อมูลการทดลองและการใช้นานกว่า มีผลการทดลองด้านสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดที่แข็งแกร่ง
ส่วนจุดเด่นในการพัฒนายาลดน้ำหนักและรักษาโรคเบาหวานของ Lilly คือ ประสิทธิภาพการลดน้ำหนักที่เหนือกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
แม้ว่า Lilly เป็นบริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการผลิตยาที่หลากหลายกว่า Novo แต่วัดกันเฉพาะยารักษาโรคเบาหวานและลดน้ำหนัก Novo ไม่ด้อยกว่า เพราะเป็นผู้บุกเบิกตลาดยารักษาโรคอ้วน และส่งยา Ozempic กับ Wegovy ครองตลาดมาหลายปี ก่อนที่ Lilly จะเข้ามาในตลาดนี้อย่างเป็นทางการในปี 2023
Novo ก็เป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่เมื่อ Lilly ที่ใหญ่กว่าเข้ามา การแข่งขันก็เป็นไปอย่างดุเดือดเข้มข้น ยาของ Lilly สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดไปได้มากอย่างรวดเร็ว มีส่วนส่งผลให้สถานการณ์ทางธุรกิจของ Novo ยากขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นที่รู้จักมาก่อน ยาของ Novo ก็ยังคงทำยอดขายได้มากกว่า
จนกระทั่ง Lilly ประกาศผลการทดลอง SURMOUNT-5 ระยะที่ 3b (การทดลองแบบเปรียบเทียบโดยตรงกับคู่แข่ง) ในเดือนพฤษภาคม 2025 ซึ่งผลการทดลองปรากฏว่า ยา Zepbound ของ Lilly มีประสิทธิภาพในการช่วยลดน้ำหนักเหนือกว่า Wegovy ของ Novo อย่างมีนัยสำคัญ คือ ผู้เข้าร่วมการทดลองที่ใช้ยา Zepbound ของ Lilly ลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 20.2% ขณะที่ผู้ร่วมการทดลองที่ใช้ยา Wegovy ของ Novo ลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 13.7%
ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าของยา Zepbound ส่งผลต่อการแข่งขันอย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่าในปีนี้ Novo มีการปรับลดประมาณการรายได้และกำไรลงแล้วหลายครั้ง ด้วยเหตุผลว่ายา Wegovy และ Ozempic มียอดขายลดลง
ในระยะใกล้มากๆ นี้มีปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลต่อการแข่งขัน คือ ทั้งสองบริษัทกำลังลุ้นอยู่ว่าบริษัทไหนจะบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯได้ก่อน ในเรื่องการกำหนดเพดานราคายา และการขยายความคุ้มครองยาลดน้ำหนักภายใต้โครงการ Medicare
ส่วนในระยะต่อไป สิ่งที่จะตัดสินว่าใครจะเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมในยุคต่อไป คือ ยาตัวใหม่ ซึ่งเป็นยาลดความอ้วนรูปแบบเม็ดรับประทาน ซึ่งนักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่ายาเม็ดรับประทานรายวันจะครองส่วนแบ่งตลาด 24% ของตลาดยาลดน้ำหนักทั่วโลกในปี 2030
ความคืบหน้า ณ ขณะนี้ การพัฒนายาเม็ดของ Novo ก้าวหน้ากว่า Lilly อยู่ขั้นหนึ่ง โดยยาเม็ด Novo ได้ยื่นต่อ FDA (อย.สหรัฐฯ) เพื่อขออนุมัติยา Wegovy สูตรเม็ดรับประทานแล้ว ซึ่งคาดว่า FDA จะตัดสินใจภายในไตรมาส 4 นี้ ด้าน Lilly คาดว่าจะยื่นขออนุมัติยาเม็ด Orforglipron ภายในสิ้นปีนี้ นั่นหมายความว่า Lilly ช้ากว่า Novo อยู่หนึ่งก้าว
จากความคืบหน้านี้ มีแนวโน้มสูงว่า Novo จะเป็นเจ้าของยาเม็ดลดน้ำหนักตัวแรกของโลก ซึ่งจะทำให้ได้เปรียบ Lilly ไปจนกว่า Lilly จะได้รับการอนุมัติยาเม็ด
แต่ในระยะต่อจากนั้น นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ วิเคราะห์ว่ายาเม็ดของ Lilly จะครองส่วนแบ่งตลาดยาเม็ดรับประทานมากกว่ายาเม็ดของ Novo
ส่วนการแข่งพัฒนาในระยะยาว ต่างฝ่ายต่างทุ่มงบลงทุน ฝั่ง Lilly มีการนำ AI มาช่วยในกระบวนการพัฒนายา โดยมีความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Nvidia เพื่อที่จะใช้พลังของ AI มาช่วยเร่งกระบวนการค้นคว้าและพัฒนายาด้วย
ด้าน Novo กำลังแย่งกับ Pfizer ซื้อกิจการ Metsera บริษัทสตาร์ทอัพที่ทำธุรกิจวิจัยและพัฒนายาสำหรับรักษาโรคอ้วนและโรคเมตาบอลิซึมเจนใหม่ ด้วยข้อเสนอมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งข้อเสนอนี้ทำให้ Novo โดน Pfizer ฟ้องว่าขัดขวางการแข่งขัน
ทั้งนี้ Metsera เป็นผู้บุกเบิกในการพัฒนายาลดน้ำหนักรุ่นต่อไป เพื่อมาแข่งขันกับยา GLP-1 ซึ่งเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น หาก Novo ไม่ได้บริษัทนี้มา แต่เป็น Pfizer ได้ไป เราอาจจะได้เห็นผู้เล่นหลักเพิ่มขึ้นมาอีกราย แต่หาก Novo ซื้อมาได้ นี่อาจจะช่วยให้ Novo นำหน้า Lilly ต่อไป