
เป้าหมายหลักในการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐอเมริกา แต่ยังมีอีกเป้าหมายหลักที่ทรัมป์ให้ความสำคัญมาก คือ การดึงการผลิตกลับสู่สหรัฐฯ
เป้าหมายนี้ของทรัมป์ถูกโต้แย้งจากนักเศรษฐศาสตร์มาตั้งแต่ต้นว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นฟูภาคการผลิตให้กลับมารุ่งเรือง เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้าง รวมถึงการขาดแคลนแรงงานในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม หากจะให้ความยุติธรรมกับทรัมป์ อาจจะต้องติดตามต่อไปว่าเขาจะดึงการผลิตเข้าประเทศได้มากน้อยแค่ไหน
แต่หากดูจากข้อมูลที่มีจนถึงตอนนี้ ข้อมูลจากภาคการผลิตเผยให้เห็นว่า ภาษีที่ทรัมป์ใช้กีดกันสินค้าจากต่างประเทศ ไม่ได้ช่วยให้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น ซ้ำยังอ่อนแอลงมาแล้วหลายเดือน
อิงตามการรายงานของรอยเตอร์ส (Reuters) ภาคการผลิตของสหรัฐฯในเดือนตุลาคม 2025 อยู่ในโซนหดตัวเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน เนื่องจากคำสั่งซื้อใหม่ยังคงซบเซา และการเก็บภาษีสินค้านำเข้าส่งผลกระทบให้ซัพพลายเออร์ต้องใช้เวลานานขึ้นในการส่งวัตถุดิบให้โรงงาน
รายงานของภาคการผลิตในการสำรวจของสถาบันการจัดการอุปทาน (Institute for Supply Management: ISM) ในสหรัฐฯที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2025 แสดงให้เห็นภาพที่น่าวิตกของภาคอุตสาหกรรม ตรงกันข้ามกับเป้าหมายของทรัมป์ที่ต้องการฟื้นฟูการผลิตในประเทศ
ข้อมูลจาก ISM ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ซึ่งบ่งชี้กิจกรรมการผลิตของสหรัฐฯในเดือนตุลาคมลดลงไปอยู่ที่ 48.7 จุด จาก 49.1 จุดในเดือนกันยายน ซึ่งค่า PMI ที่ต่ำกว่า 50 จุด บ่งชี้ถึงการหดตัวของภาคการผลิต ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 10.1% ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ขณะที่คำสั่งซื้อค้างส่งในเดือนตุลาคมยังคงอยู่ในระดับต่ำ เช่นเดียวกับคำสั่งซื้อส่งออกที่เข้ามาใหม่ และที่สำคัญภาษีศุลกากรกำลังทำให้ห่วงโซ่อุปทานติดขัด ส่งผลให้ต้องใช้เวลานานขึ้นในการส่งมอบสินค้าวัตถุดิบ-วัสดุไปยังโรงงาน ดังที่ปรากฏในดัชนีการส่งมอบสินค้าของซัพพลายเออร์จากการสำรวจของ ISM ที่เพิ่มขึ้นเป็น 54.2 จุดในเดือนตุลาคม จาก 52.6 จุดในเดือนกันยายน ซึ่งค่าที่สูงกว่า 50 จุด บ่งชี้ว่าการส่งมอบช้าลง
เมื่อการผลิตอ่อนแอก็ส่งผลให้การจ้างงานในโรงงานยังคงอ่อนแอ ดังที่ ISM ระบุว่า ผู้ผลิตยังคงเลิกจ้างพนักงานอย่างต่เนื่อง และปล่อยตำแหน่งงานว่างไว้โดยไม่มีการจ้างคนใหม่ เพื่อควบคุมจำนวนพนักงานทั้งหมด
สตีเฟน สแตนลีย์ (Stephen Stanley) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐฯของบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ แซนแทนเดอร์ (Santander U.S. Capital Markets) ให้ข้อมูลว่า ภาษีศุลกากรของทรัมป์สร้างความปั่นป่วนให้กับภาคอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์มาเกือบทั้งปีนี้ ความเห็นที่ได้จากการตอบแบบสำรวจของแต่ละรายแสดงให้เห็นว่า บริษัทต่างๆ เหนื่อยล้ากับเรื่องภาษีศุลกากรที่พลิกกลับไปกลับมาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน และพวกเขากำลังประสบปัญหาอย่างหนัก เนื่องจากลูกค้าได้ชะลอการซื้อลงอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์บางรายเห็นด้วยกับความเห็นของเหล่านักเศรษฐศาสตร์ว่า การเก็บภาษีของทรัมป์ไม่ได้ช่วยเพิ่มการผลิตในประเทศ และยังบอกด้วยว่า ในหลายๆ กรณี เมื่อบวกภาษีนำเข้าแล้ว การนำเข้าก็ยังคงน่าสนใจกว่าการซื้อจากภายในสหรัฐฯ
ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เคมีบางรายกล่าวว่า ธุรกิจของพวกเขายังคง “ยากลำบาก” เพราะลูกค้ายกเลิกและลดคำสั่งซื้อ เนื่องจากความไม่แน่นอนในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ด้านภาษีศุลกากรที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ขณะที่บางรายกล่าวว่า “ความสงสัยว่าภัยคุกคามจากภาษีศุลกากรจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเราหรือไม่ ได้เปลี่ยนเป็นความกังวลว่ามันจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเราอย่างไร” และให้ข้อมูลว่า คำสั่งซื้อของบริษัทลดลงในเกือบทุกแผนก
ด้านผู้ผลิตเครื่องจักรบอกว่า สินค้าที่พวกเขานำเข้านั้นไม่ใช้สินค้าที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาได้โดยง่าย “ดังนั้น ความพยายามของทรัมป์ที่จะนำสินค้ากลับเข้ามาผลิตในประเทศจึงไม่ประสบผลสำเร็จ” และบางรายกล่าวว่า สงครามการค้าของรัฐบาลทรัมป์ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตร และส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของเกษตรกร แล้วส่งผลต่อความสามารถในการซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์การเกษตรใหม่
อย่างไรก็ตาม มีนักเศรษฐศาสตร์ที่มองว่านโยบายของทรัมป์ได้ผลในการดึงการผลิตเข้าสู่สหรัฐฯอยู่บ้างเช่นกัน
คริสโตเฟอร์ รัปคีย์ (Christopher Rupkey) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทวิจัยตลาดการเงิน เอฟดับบลิวดีบอนด์ส (FWDBONDS) ที่กล่าวว่า สหรัฐฯมีข้อตกลงกับนานาประเทศ มีการให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯเป็นจำนวนหลายแสนล้านดอลลาร์ แต่โรงงานเหล่านั้นอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสร้างเสร็จและเริ่มเดินเครื่องผลิต ดังนั้น คนงานจะต้องรอไปอีกพักใหญ่กว่าจะได้เข้าทำงานในสายกรผลิต เนื่องจากในขณะนี้ยังไม่มีตำแหน่งงานรองรับ