
การส่งออกจากหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกตในปีนี้ จนกลายเป็นประเด็นถกเถียงในแวดวงการค้าโลกว่า ตัวเลขที่พุ่งแรงดังกล่าวสะท้อนศักยภาพการผลิตที่แท้จริงของภูมิภาค หรือเป็นเพียงภาพสะท้อนของสินค้าจีนที่ถูก “ส่งอ้อม” ผ่านประเทศที่สาม เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งกลับมาเข้มงวดอีกครั้งในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ฝ่ายบริหารสหรัฐแสดงท่าทีแข็งกร้าว โดยพาดพิงถึงประเทศอย่างเวียดนามและไทยว่าอาจมีบทบาทช่วยผู้ส่งออกจีนหลบเลี่ยงภาษี ด้วยการระบุแหล่งกำเนิดสินค้าสำเร็จรูปไม่ตรงกับข้อเท็จจริง พร้อมขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 40% หากพบว่าเป็นการถ่ายโอนผ่านประเทศที่สาม
ข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรจีนระบุว่า ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกของจีนไปยังเวียดนามและไทยขยายตัวเกือบ 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เพิ่มขึ้นในอัตราสองหลักเช่นกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน สหรัฐอเมริกากลับมีดุลการค้าขาดดุลกับเวียดนามและไทยพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงฤดูร้อน ตอกย้ำความกังวลของสหรัฐฯ ว่าจีนกำลังเลี่ยงภาษีระบายสินค้าผ่านไทยและเวียดนาม
แม้การขยายตัวดังกล่าวส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า ก่อนที่มาตรการภาษีตอบโต้ฉบับปรับปรุงของสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม แต่ข้อมูลเพิ่มเติมชี้ว่าแนวโน้มการค้าดังกล่าวยังไม่ได้ชะลอลง งานวิจัยของสถาบัน Lowy Institute ในออสเตรเลียระบุว่า มูลค่าการส่งออกสินค้ารวมจากประเทศอาเซียนในเดือนตุลาคมสูงกว่าปีก่อนถึง 15% ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์การค้า Kpler พบว่า ปริมาณการขนส่งสินค้าจากจีนไปยังประเทศอาเซียนในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งคำนวณจากค่าเฉลี่ยสามเดือน อยู่ที่ 5.9 ล้านตันเมตริก เพิ่มขึ้นราว 10% เมื่อเทียบรายปี
การวิเคราะห์ของ Nikkei Asia โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Trade Data Monitor ชี้ว่า การส่งออกของจีนไปยังเวียดนามและไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทปัจจัยการผลิต เช่น ชิปอิเล็กทรอนิกส์และตัวประมวลผลคอมพิวเตอร์ ในทางตรงกันข้าม การส่งออกจากเวียดนามและไทยไปยังสหรัฐฯ กลับเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป ไม่ว่าจะเป็นแล็ปท็อป สมาร์ตโฟน หรือเครื่องเล่นเกม
กรณีของเวียดนามสะท้อนภาพดังกล่าวได้ชัดเจน โดยในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน เวียดนามส่งออกแล็ปท็อปไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 9 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่การนำเข้าแล็ปท็อปและชิ้นส่วนจากจีนในช่วงเดียวกันกลับเพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 100 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
นักวิเคราะห์การค้าระบุว่า รูปแบบการค้าที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับกลยุทธ์ “China plus one” ซึ่งผู้ส่งออกจีนและบริษัทข้ามชาติได้วางรากฐานไว้ล่วงหน้า เพื่อกระจายความเสี่ยงและย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีน หลังเผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้ารอบแรกในปี 2561 ส่งผลให้สินค้าหลายประเภท โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ถูกนำไปประกอบหรือดำเนินการในขั้นตอนสุดท้ายในประเทศอาเซียน ก่อนส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ
ชิม ลี นักวิเคราะห์อาวุโสด้านจีนจาก Economist Intelligence Unit ชี้ว่า ผู้ผลิตที่มีเครือข่ายการผลิตกระจายอยู่หลายประเทศ มีแนวโน้มโยกย้ายกำลังการผลิตบางส่วนออกจากจีนไปยังประเทศอื่น อย่างไรก็ดี ปัจจัยการผลิตต้นน้ำจำนวนมากยังคงต้องพึ่งพาจีน เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานด้านอิเล็กทรอนิกส์มีลักษณะเป็นสากลและเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง
ข้อมูลจาก Rhodium Group ระบุว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นปลายทางของการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศจากจีนมากกว่าหนึ่งในสามของทั้งหมด ขณะที่การศึกษาของ Boston Consulting Group (BCG) พบว่า ผู้ผลิตสัญชาติอเมริกันถึง 9 ใน 10 ราย ได้ย้ายห่วงโซ่อุปทานบางส่วนออกจากจีนในช่วงปี 2561-2566 ความกังวลของสหรัฐฯ อยู่ที่ความเป็นไปได้ที่ผู้ส่งออกจีนจะจัดตั้งบริษัทเชลล์ (Shell Company) หรือสายการประกอบที่มีการเพิ่มมูลค่าเพียงเล็กน้อย เพื่ออาศัยสิทธิทางการค้าที่เอื้ออำนวยกว่าของประเทศอาเซียน
อย่างไรก็ตาม กรอบการพิจารณาแหล่งกำเนิดสินค้ายังขาดความชัดเจน ดอว์น แช็คเคิลฟอร์ด อดีตเจ้าหน้าที่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก เห็นว่าสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องพัฒนากติกาแหล่งกำเนิดสินค้าในระดับภูมิภาคให้มีความครอบคลุมและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ขณะที่เอ็ดมันด์ มาเลสกี ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยดุ๊ก เตือนว่า หากสหรัฐฯ นิยามการถ่ายลำสินค้าจากสัดส่วนการใช้ปัจจัยการผลิตจากจีนเกิน 30% บริษัทจำนวนมากอาจได้รับผลกระทบ รวมถึงแบรนด์อเมริกันที่ผลิตในเวียดนามซึ่งยังต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากจีนเป็นหลัก
ในปัจจุบัน นักวิชาการส่วนใหญ่ยอมรับว่า การทุจริตทางการค้ามีโอกาสเกิดขึ้นในระดับหนึ่ง แต่การประเมินขนาดและความรุนแรงของปัญหายังทำได้ยาก โดยเฉพาะในกรณีที่พฤติกรรมดังกล่าวอาจแฝงตัวอยู่ในข้อมูลสถิติทางการค้าอย่างเป็นทางการ
บริษัท Exiger ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน และทำงานร่วมกับสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ ประเมินว่า ในแต่ละปีมีสินค้าจากจีนถูกถ่ายลำเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการทางการค้าคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของคดีการถ่ายลำสินค้า 382 คดี ที่ศุลกากรสหรัฐฯ ตรวจพบตั้งแต่ปี 2559
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหลายชิ้นช่วยลดน้ำหนักของข้อกล่าวหาดังกล่าว การศึกษาของมาเลสกีเกี่ยวกับการค้าเวียดนามในปี 2561 พบว่า เพียงราว 10% ของมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นของเวียดนามเป็นการส่งสินค้าผ่านทางโดยแทบไม่มีการเพิ่มมูลค่า ขณะที่เอกสารวิชาการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งเผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม ระบุว่า เวียดนามไม่ได้เปิดช่องให้จีนเปลี่ยนเส้นทางการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในระดับที่มีนัยสำคัญ แม้ยังไม่สามารถสรุปผลได้ชัดเจนสำหรับบางประเทศในเอเชีย
ในมุมมองของภาคธุรกิจ ผู้นำธุรกิจในภูมิภาคประเมินว่า ปัญหาการถ่ายลำสินค้าในปีนี้ไม่ได้รุนแรงเท่าช่วงวาระแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หอการค้าอเมริกันในนครโฮจิมินห์ระบุว่า รัฐบาลเวียดนามได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ประกอบการโลจิสติกส์จีนรายหนึ่งมองว่า การเปลี่ยนเส้นทางสินค้าเริ่มไม่น่าสนใจ หลังสหรัฐฯ ขยายการเก็บภาษีกับหลายประเทศในอาเซียนจนส่วนต่างอัตราภาษีลดลง
ขณะเดียวกัน ความสำคัญของตลาดสหรัฐฯ ต่อจีนก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้แรงจูงใจในการเปลี่ยนเส้นทางสินค้าผ่านประเทศที่สามอ่อนตัวลงตามไปด้วย โดยจีนกำลังเร่งกระจายตลาดส่งออกใหม่สำหรับสินค้า ตั้งแต่อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงของเล่นและสินค้าอุปโภคบริโภค โดยมุ่งเป้าไปยังตลาดอาเซียนและสหภาพยุโรปมากขึ้น
นักวิเคราะห์ยังชี้ว่า รัฐบาลในหลายประเทศอาเซียนพยายามรับมือกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากความผันผวนด้านภาษีโลก ด้วยการใช้นโยบายกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ เวียดนามประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม เพื่อผลักดันอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้แตะระดับ 8% ภายในปีนี้
ชิม ลี ระบุว่า แนวโน้มการบริโภคในประเทศอาเซียนยังคงมีความแข็งแกร่งและน่าจะต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 “ดังนั้น การนำเข้าสินค้าจากจีนจำนวนหนึ่งอาจสะท้อนความต้องการภายในประเทศของอาเซียนเอง ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อส่งต่อไปยังตลาดสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว”
ที่มา: Nikkei Asia