
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เดินหน้าปฏิบัติการบุกยึดเรือบรรทุกน้ำมันอีกหนึ่งลำ นอกชายฝั่งเวเนซุเอลาเมื่อวานนี้ (20 ธันวาคม 2568) นับเป็นเรือลำที่สองที่สหรัฐฯ เข้าสกัดกั้น หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรทุกลำ ซึ่งเดินทางเข้าและออกจากเวเนซุเอลาเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการตัดช่องทางรายได้หลักของรัฐบาลมาดูโร และยกระดับการกดดันให้แก้ไขเรื่องการลักลอบนำเข้ายาเสพติด
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2568 สหรัฐฯ ได้ยึดเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ชื่อ "สคิปเปอร์" (Skipper) ซึ่งถูกคว่ำบาตรเนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับประเทศอิหร่าน อย่างไรก็ตาม เรือลำล่าสุดที่สหรัฐฯ บุกยึดกลับไม่ได้อยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรใด ๆ โดยเรือลำดังกล่าว เป็นเรือบรรทุกน้ำมันที่ติดธงปานามาซึ่งกำลังบรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลา และมีจุดหมายปลายทางสุดท้ายอยู่ที่ทวีปเอเชีย
ปฏิบัติการยึดเรือครั้งล่าสุด ดำเนินการโดยหน่วยยามฝั่งสหรัฐฯ พร้อมกับได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพสหรัฐฯ และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในน่านน้ำสากล จึงอาจขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศได้
นางคริสตี โนม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ได้โพสต์วิดีโอความยาว 7 นาทีลงในโซเชียลมีเดียเมื่อบ่ายวันเสาร์ แสดงให้เห็นภาพเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินวนอยู่เหนือเรือบรรทุกน้ำมัน เธอเขียนระบุว่า เรือลำดังกล่าวถูกจับกุมในปฏิบัติการช่วงก่อนรุ่งสาง โดยหน่วยยามฝั่งภายใต้การสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหม และข้อมูลระบุว่าเรือลำนี้จอดเทียบท่าครั้งสุดท้ายที่เวเนซุเอลา
เธอกล่าวว่า สหรัฐอเมริกาจะเดินหน้าติดตามการเคลื่อนย้ายน้ำมันที่ผิดกฎหมายและถูกคว่ำบาตร ซึ่งถูกนำไปใช้เป็นทุนสนับสนุนลัทธิก่อการร้ายค้ายาเสพติดในภูมิภาคนี้
ในขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเวเนซุเอลาออกมาประกาศโต้ตอบภายในวันเดียวกัน ระบุว่า อิหร่านได้เสนอความร่วมมือเพื่อเผชิญหน้ากับ "การกระทำเสมือนโจรสลัด" และ "การก่อการร้ายสากล" โดยรัฐบาลสหรัฐฯ
นายอีวาน กิล รัฐมนตรีต่างประเทศ กล่าวผ่าน Telegram ว่า เขาได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายอับบาส อารักชี คู่เจรจาชาวอิหร่าน เพื่อทบทวนความสัมพันธ์ทวิภาคีและหารือเกี่ยวกับพัฒนาการล่าสุดในทะเลแคริบเบียน โดยเฉพาะการข่มขู่ต่างๆ และการขโมยเรือที่บรรทุกน้ำมันของเวเนซุเอลา
นายกิลกล่าวว่า รัฐบาลอิหร่านได้แสดงความสามัคคีอย่างเต็มที่ต่อเวเนซุเอลา และเสนอความร่วมมือในทุกด้าน เพื่อเผชิญหน้ากับการกระทำของสหรัฐฯ ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลเวเนซุเอลาได้ออกมาประณามการปิดล้อมเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ชี้ว่าสิ่งที่สหรัฐฯ ทำเป็น "ภัยคุกคามที่ประมาทและร้ายแรง" และให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ
นางเดลซี โรดริเกซ รองประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ระบุในแถลงการณ์ว่า ประเทศเวเนซุเอลาไม่ยอมรับการขโมยและจี้ชิงเรือเอกชนลำใหม่ที่ขนส่งน้ำมันของเวเนซุเอลา และระบุว่า เวเนซุเอลาจะดำเนินการตามความเหมาะสมทุกประการ รวมถึงการรายงานเรื่องนี้ต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ องค์กรพหุภาคีอื่น ๆ และรัฐบาลทั่วโลก
เมื่อรวมกับการข่มขู่ของทรัมป์ที่จะทำการโจมตีทางบกบนดินแดนของเวเนซุเอลา การยึดเรือเหล่านี้ได้เพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลคารากัสให้สูงขึ้นไปอีก โดยการพุ่งเป้าไปที่เส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับความตึงเครียดอยู่แล้ว หลังจากมีการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่อภาคส่วนน้ำมันเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ขณะนี้สหรัฐฯ เดินหน้ากดดันเวเนซุเอลาต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายเดือน รวมถึงการเคลื่อนกำลังทหารหลายพันนายและกองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีเข้าสู่ทะเลแคริบเบียน การโจมตีเรือที่ต้องสงสัยว่าขนส่งยาเสพติด และการข่มขู่ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร อย่างเปิดเผยและบ่อยครั้ง
กองทัพสหรัฐฯ ได้สังหารผู้คนไปแล้ว 104 รายจากการโจมตีเพื่อทำลายเรือขนส่งยาเสพติดจำนวน 29 ลำ ซึ่งเป็นการโจมตีที่รัฐบาลทรัมป์อ้างว่า กำลังปราบปรามการลักลอบค้ายาเสพติดและผู้อพยพจากเวเนซุเอลา แต่การกระทำเหล่านี้ยังชี้ให้เห็นถึงการกวาดล้างอิทธิพลของนายมาดูโร ซึ่งนางซูซี่ ไวล์ส หัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว ได้บอกใบ้ว่า การขับไล่เขาออกจากตำแหน่งคือเป้าหมายที่แท้จริงของรัฐบาลชุดนี้
การประกาศ ปิดล้อมของทรัมป์ในสัปดาห์นี้ สะท้อนให้เห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์ให้ความสำคัญเรื่องน้ำมันของประเทศเวเนซุเอลา ซึ่งเขาเคยกล่าวไว้ว่าสหรัฐฯ ควรจะสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำมันเหล่านั้นได้ หากนายมาดูโรถูกขับออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ บริษัทรัฐวิสาหกิจ Petróleos de Venezuela (PDVSA) เป็นผู้ควบคุมอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของประเทศ โดยมีบริษัทเชฟรอน (Chevron) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในฮิวสตัน เป็นบริษัทสหรัฐฯ เพียงแห่งเดียวที่ทำการขุดเจาะในเวเนซุเอลา และจ่ายเปอร์เซ็นต์ของผลผลิตให้แก่ PDVSA ภายใต้ข้อยกเว้นการคว่ำบาตร
ปริมาณน้ำมันสำรองของเวเนซุเอลานั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ดำเนินการได้ต่ำกว่าศักยภาพอย่างมากเนื่องจากการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ โดยน้ำมันส่วนใหญ่ของประเทศถูกขายให้กับจีน