
นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เปิดวิสัยทัศน์การทำงานสี่เดือนของรัฐบาลชั่วคราว บนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ภายใต้หัวข้อ “Thailand’s Next Frontier: A Notional Economic Vision” โดยย้ำเจตนารมณ์ชัดว่า รัฐบาลจะใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรมที่สุด ทั้งในด้านการแก้ปัญหาปากท้อง ฟื้นเศรษฐกิจ และสร้างเสถียรภาพทางสังคม พร้อมยืนยันว่าจะยุบสภาภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 ตามข้อตกลงทางการเมืองที่ให้ไว้กับพรรคประชาชนและประชาชนชาวไทย เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินอนาคตประเทศด้วยตนเอง
นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลกำหนดช่วงเวลานี้เป็น “สี่เดือนแห่งการลงมือทำ” โดยเร่งผลักดันนโยบายที่เห็นผลเร็วควบคู่กับการวางรากฐานระยะยาว เช่น การกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” การปรับโครงสร้างหนี้ประชาชน และการสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับการปราบปรามสแกมและอาชญากรรมทางการเงิน พร้อมเดินหน้าสร้างมาตรฐานการบริหารที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง
นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่าตลอดหนึ่งเดือนแรกของการเข้ารับตำแหน่ง รัฐบาลได้พยายามผลักดันให้บรรลุเป้าหมายทุกข้อที่ตั้งไว้ เนื่องจากมีเวลาเพียงสี่เดือนในการบริหารประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
นายอนุทินเปิดเผยว่าทันทีหลังรับตำแหน่ง ได้เรียกประชุมทีมงานเพื่อจัดทำรอบและแผนการทำงานอย่างชัดเจน โดยตั้งใจให้ช่วงเวลานี้เป็น “สี่เดือนแห่งการลงมือทำ” ที่ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านการเร่งแก้ปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านแนวทางที่ให้ผลรวดเร็ว (Quick Win) ควบคู่กับการวางรากฐานระยะยาว (Big Win) โดยเฉพาะในประเด็นการกระตุ้นการใช้จ่าย การลดค่าครองชีพ และการสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชน รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญด้านความมั่นคงชายแดน การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะ และการบรรเทาความเสียหายจากภัยธรรมชาติ
สำหรับกระแสว่าจะมีการยืดการยุบสภาออกไปนั้น นายอนุทินยืนยันว่า การยุบสภาจะเกิดขึ้นตามไทม์ไลน์ที่ประกาศไว้ คือภายในระยะเวลา “สี่เดือน” หลังรับตำแหน่ง หรือภายในวันที่ 31 มกราคม ปี 2569 อย่างแน่นอน เพราะเงื่อนไขดังกล่าวคือสัญญาที่รัฐบาลให้ไว้กับพรรคประชาชนตามบันทึกความเข้าใจ (MOA) ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการจัดตั้งรัฐบาล
นายอนุทิน กล่าวว่าในช่วงวิกฤตทางการเมืองก่อนเข้ารับตำแหน่ง ตนได้มีการหารือร่วมกันว่าการยุบสภาและคืนอำนาจให้ประชาชนคือทางออกที่ดีที่สุดของประเทศ ขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดยุบสภา แม้แต่นายกรัฐมนตรีรักษาการในรัฐบาลก่อนหน้าก็ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำเช่นนั้น พรรคประชาชนซึ่งมีเสียงในสภามากที่สุดก็ไม่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสม การเจรจาจึงนำมาสู่ข้อตกลงให้อนุทินขึ้นบริหารประเทศชั่วคราว และยุบสภาหลังครบกำหนดสี่เดือน เพื่อเปิดทางให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ผ่านการเลือกตั้ง โดยนายอนุทินย้ำว่า “ไม่เคยเปลี่ยนความคิด” และจะไม่อ้างเหตุการณ์ใดมาเป็นข้ออ้างเลื่อนเวลา เพราะถือเป็นสัญญาที่ให้ไว้กับพรรคประชาชนและกับประชาชนโดยตรง
นอกจากนี้ นายอนุทินยังกล่าวถึงการทำงานร่วมกับทีมรัฐมนตรีซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนที่สละตำแหน่งและรายได้เดิม เพื่อเข้ามาทำงานด้วยความตั้งใจในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับระบบราชการ นายอนุทิน ย้ำว่าการแต่งตั้งรัฐมนตรีครั้งนี้ยึดหลักความสามารถ ไม่ยึดระบบโควตาพรรค และตั้งเป้าให้รัฐบาลชุดนี้เป็นต้นแบบของการบริหารที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
ในประเด็นการเลือกตั้งครั้งต่อไป นายกรัฐมนตรีระบุว่าพรรคภูมิใจไทยเตรียมความพร้อมไว้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่หลังการเลือกตั้งปี 2566 สมาชิกพรรคทุกคนถูกปลูกฝังให้พร้อมรับการเลือกตั้งได้ทุกเมื่อ โดยมองว่าการทำงานทางการเมืองต้องพร้อมทั้งในภาวะที่เป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน นายอนุทินมองว่าระยะเวลาการดำรงตำแหน่งไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ หากสามารถใช้เวลาที่มีสร้างผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์และเป็นที่จดจำต่อประเทศชาติ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังเน้นว่าความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงของประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้เมื่อทุกฝ่ายร่วมกันละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตนและระบบพรรคพวก แล้วมุ่งทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าประเทศสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หากสังคมยึดหลักความร่วมมือและตั้งใจทำเพื่อประโยชน์ของประเทศโดยไม่ยึดติดกับอำนาจหรือผลประโยชน์ทางการเมือง
สำหรับประเด็น “สแกมเมอร์” ที่ปัจจุบัน ไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกจับตาในฐานะ “ศูนย์กลางการฟอกเงิน” นายอนุทินย้ำว่าการเหมารวมว่า “ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางฟอกเงิน” นั้นไม่เป็นธรรม เพราะปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากประเทศไทยโดยตรง แต่เป็นผลของโครงสร้างภูมิรัฐศาสตร์และช่องว่างทางกฎหมายในประเทศรอบข้างที่เปิดช่องให้ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเข้ามาใช้ประโยชน์จากระบบการเงินไทยที่มั่นคงกว่า
นายอนุทินอธิบายว่า เครือข่ายสแกมส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งฐานในประเทศที่มีระบบเข้มแข็ง แต่เลือกปฏิบัติการในประเทศที่มีกฎหมายหลวม และด้วยตำแหน่งที่ตั้งของไทยที่อยู่ใจกลางอินโดจีน บวกกับความน่าเชื่อถือทางการเงินและค่าเงินบาทที่ต่างประเทศยอมรับ ทำให้ผู้กระทำผิดเลือกใช้ไทยเป็นจุดผ่านในการหมุนเวียนและแปลงสกุลเงินก่อนออกนอกภูมิภาค
“ถ้าพวกเขาจะเก็บเงินเป็นเงินเรียล เงินกีบ หรือเงินจ๊าด มันทำได้ยาก เขาต้องแปลงเป็นเงินบาทก่อน แล้วจึงแปลงเป็นดอลลาร์ ยูโร หรือปอนด์” นายกรัฐมนตรีกล่าว พร้อมชี้ว่าการใช้คริปโตหรือสกุลเงินดิจิทัลยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงระบบการเงินปกติได้ทั้งหมด เพราะทุกอย่างยังต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบด้าน Compliance
นายอนุทินย้ำว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือสร้างระบบกฎหมายที่เข้มงวดและเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้วยความตั้งใจจริง ปัจจุบัน ปปง. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเพิ่มความเข้มงวด โดยเฉพาะการจัดตั้ง “กองบัญชาการอาชญากรรมเทคโนโลยี” ที่มีภารกิจโดยตรงในการสกัดเครือข่ายฟอกเงินและสแกมออนไลน์ ทั้งนี้ หลายปฏิบัติการต้องทำในทางลับ เนื่องจากเทคโนโลยีของผู้กระทำผิดเปลี่ยนแปลงทุกวัน และเจ้าหน้าที่ต้อง “อยู่เหนือผู้กระทำผิด ไม่ใช่ไล่ตาม” พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะสนับสนุนทุกด้าน ทั้งเครื่องมือ งบประมาณ และเทคโนโลยี เพื่อให้หน่วยงานมีศักยภาพในการปราบปราม
ในเรื่องของการเกรงกลัวต่ออิทธิพลใดๆ นายอนุทินยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไม่มีอิทธิพลใดอยู่เหนือรัฐบาล โดยได้สั่งการโดยตรงไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการปปง. เลขาธิการสมช. และอธิบดีดีเอสไอ ให้ดำเนินการอย่างมั่นใจและเด็ดขาด พร้อมย้ำว่า รัฐบาลไม่เกรงกลัวนักเลงหรือมาเฟีย และไม่มีใครใหญ่กว่ารัฐบาลได้ หากผู้นำไม่หวั่นเกรงต่ออิทธิพลใด เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานก็ไม่ควรต้องกลัวเช่นกัน
เมื่อถูกถามถึงนโยบายเชิงรุก นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลได้ “เซ็นเช็คเปล่า” ให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสามารถดำเนินการเต็มที่ โดยในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีผลการปราบปรามต่อเนื่อง ทั้งการจับยาเสพติดหลายสิบล้านเม็ด ยึดทรัพย์จากคดีสแกมกว่า 20,000 ล้านบาท และการถอนสัญชาติผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก รวมถึงการอายัดทรัพย์เครือข่ายที่ยังขยายผลต่อเนื่อง นายอนุทินเปิดเผยด้วยว่าเพิ่งมีการถอนสัญชาติของ “ขาใหญ่” รายหนึ่งที่ได้สัญชาติไทยมาเกือบสิบปี และพบว่าการอ้างข้อมูลแม่ผู้ให้กำเนิดเป็นเท็จ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการสืบสวนที่กำลังดำเนินต่อไปอย่างเงียบ ๆ
ในช่วงท้าย นายอนุทินกล่าวถึงกระแสข่าวอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังที่ถูกตั้งข้อครหาเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงินว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานหรือการดำเนินคดีจากทั้งหน่วยงานไทยและต่างประเทศ แต่เพื่อรักษาความเชื่อมั่น ตนเป็นผู้แจ้งให้เจ้าตัวลาออกจากตำแหน่งเอง “ท่านให้ความร่วมมือดีมาก เพราะท่านอยู่ในกระทรวงที่เราต้องใช้กลไกในการปราบอาชญากรรมทางการเงิน” นายอนุทินกล่าว พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้ใช้กฎหมายโดยยึดหลักพฤติกรรมและหลักฐาน ไม่ใช่ความชอบส่วนตัวหรือการเมือง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันจะไม่เดินซ้ำรอยอดีตที่ใช้กลไกรัฐกำจัดคู่แข่งทางการเมือง เพราะมองว่าเป็น “สิ่งที่ประเทศอารยะไม่ทำ” พร้อมเน้นว่า แม้ตนมีอำนาจมากกว่านายกรัฐมนตรีชุดก่อน ๆ เนื่องจากควบตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยและกำกับกระทรวงสำคัญแทบทั้งหมด แต่จะไม่ใช้เพื่อแก้แค้นหรือสร้างความหวาดกลัว “ถ้าผมคิดเจ้าคิดเจ้าแค้น เดือนเดียวก็ทำได้ อย่าว่าแต่สี่เดือนเลย” นายอนุทินกล่าว ก่อนทิ้งท้ายว่ารัฐบาลนี้จะยึดแนวทางการบริหารแบบเปิดกว้าง โปร่งใส และมีความรับผิดชอบตามหลัก “Inclusivity, Resilience และ Transparency” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของประเทศไทยในเวทีโลก
สำหรับผลการเดินทางกลับจากมาเลเซียและการเข้าร่วมการประชุมเอเปก นายอนุทินกล่าวว่า การลงนามใน Joint Declaration หรือ “ปฏิญญาร่วม” ซึ่งจัดทำขึ้นร่วมกับผู้นำกัมพูชา สหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย โดยระบุว่าเอกสารดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อยุติความขัดแย้งและป้องกันไม่ให้ประเทศไทยต้องเข้าสู่สงคราม
นายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างชัดเจนว่า การตัดสินใจลงนามครั้งนี้เกิดจากความตั้งใจที่จะรักษาความสงบสุขของประเทศ เพราะ “หน้าที่ของนายกรัฐมนตรีคือทำให้ประเทศมีความสงบสุข ไม่ใช่นำประเทศเข้าสู่สงคราม” พร้อมย้ำว่าแม้ในหลายประเทศ “สงครามอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้นำได้รับความนิยม” แต่สำหรับประเทศไทย ความเป็นเอกราชและศักดิ์ศรีคือสิ่งที่ต้องปกป้องเหนือสิ่งอื่นใด การลงนามครั้งนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่สูญเสียดินแดนหรืออธิปไตย และไม่มีการยอมแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ใด ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า สารที่ส่งผ่านจากประเทศไทยมีสี่ข้อหลัก และเชื่อว่าความชัดเจนเหล่านี้ได้ถูกถ่ายทอดถึงคู่กรณีอย่างสมบูรณ์ โดยมีผู้นำอาเซียนและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในฐานะตัวแทนประชาคมโลกร่วมเป็นสักขีพยาน ซึ่งถือเป็นสัญญาณสำคัญว่าสงครามจะไม่เกิดขึ้น หากทุกฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้ร่วมลงนามไว้
เมื่อถูกถามถึงแนวทางในอนาคต นายกรัฐมนตรีอธิบายว่า Joint Declaration นี้ไม่ใช่ “สัญญาสันติภาพ” หรือ “ข้อตกลงสงบศึก” หากแต่เป็น “ประตูแรก” ที่จะนำไปสู่สันติภาพในระยะยาว ประเทศไทยตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาค รายล้อมด้วยเพื่อนบ้านหลายประเทศ ทั้งมาเลเซีย พม่า ลาว และกัมพูชา การมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นกับทุกประเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ภูมิภาคนี้เชื่อมโยงอย่างสมบูรณ์ หากส่วนใดของ “วงกลม” นี้ขาดหายไป ก็จะกระทบต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงโดยรวมของไทย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงผลกระทบของความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาต่อเศรษฐกิจไทยว่า ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ตัวเลขการค้าชายแดนอยู่ที่ประมาณ 170,000 ล้านบาทต่อปี โดยไทยส่งออก 140,000 ล้านบาท แต่นำเข้าเพียง 30,000 ล้านบาท เขายอมรับว่าประเทศไทยเสียเปรียบในเชิงผลประโยชน์ แต่ยืนยันว่าจะไม่ยอม “เป็นเบี้ยล่างของคู่กรณี” และจะหาทางออกที่ยั่งยืนกว่าในระยะยาว
นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ข้อตกลงที่ลงนามครั้งนี้ไม่ได้กำหนดข้อผูกพันที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติ แต่เป็นภาระหน้าที่ของฝ่ายคู่กรณีแทบทั้งหมด ซึ่งถือว่า “แฟร์” และเป็นโอกาสให้ไทยใช้ Joint Declaration เป็นเครื่องมือฟื้นฟูและพัฒนาสิ่งที่เคยเสียหายให้กลับมาดีขึ้น โดยทั้งหมดทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนไทย ไม่ใช่เพื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พร้อมทิ้งท้ายว่า นี่คือเจตนารมณ์ที่รัฐบาลตั้งใจปฏิบัติตลอดเดือนที่ผ่านมา และจะเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ
การลงนามบันทึกความเข้าใจด้านแร่แรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ นายอนุทินอธิบายว่าแร่แรร์เอิร์ธในประเทศไทยยังอยู่ในรูปหินดิบและยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีมูลค่าเพียงใด แต่ไทยควรใช้โอกาสนี้เพิ่มมูลค่าทรัพยากร ไม่ใช่เพียงขายวัตถุดิบราคาถูก “ผมอยากขายหินในราคาทองคำ ไม่ใช่ขายเป็นก้อนกรวดก้อนทราย” นายกรัฐมนตรีกล่าว พร้อมยกหลักการจากประสบการณ์ภาคเอกชนว่า “ซื้อมาเป็นเมตรต้องขายเป็นนิ้ว” เพื่อสะท้อนแนวคิดการสร้างมูลค่าเพิ่ม
นายอนุทินยอมรับว่าก่อนมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตนแทบไม่เคยสนใจเรื่องแรร์เอิร์ธมาก่อน แต่เมื่อพบว่ามีโอกาสสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศ จึงมองว่าควรส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาอย่างรอบคอบ โดยยืนยันว่าไทยยังไม่ได้ให้สัมปทานแก่ชาติใด เพียงเปิดทางให้ศึกษาความเป็นไปได้ หากมีมูลค่าจริงก็ต้องกำหนดกติกาและกฎหมายที่รัดกุม “ผมยึดหลักไทยแลนด์เฟิร์ส ทุกอย่างต้องให้คนไทยได้แต้มต่อมากที่สุด” นายอนุทินกล่าว พร้อมระบุว่าประเทศอื่นในภูมิภาคบางแห่งถึงขั้นขายแร่ไปแล้ว ขณะที่ไทยเพียงเปิดรับการศึกษาร่วมและเจรจาความร่วมมือ ซึ่งไม่ผูกพันประเทศใดประเทศหนึ่ง
เมื่อถูกถามถึงสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ นายกรัฐมนตรีตอบว่า ประเทศไทยต้องรักษาสมดุลด้วย “ความจริงใจ” และ “ความมั่นใจในตัวเอง” โดยเปรียบเทียบว่า “เราอย่าเล่นเป็นนกมีหูหนูมีปีก เหยียบเรือสองแคม” พร้อมชี้ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพมากพอ ทั้งทรัพยากร บุคลากร เทคโนโลยี และแหล่งทุน พร้อมเสนอว่าการสร้างสมดุลระหว่างมหาอำนาจต้องอยู่บนพื้นฐานของ “พาร์ทเนอร์ชิพ” มากกว่าการพึ่งพา “เราต้องวางตัวเป็นคู่ค้า เป็นคู่คิด ไม่ใช่เป็นขี้ข้า เราเลือกข้างของเราเอง คือข้างของประเทศไทย”
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวต่อว่า หากวันหนึ่งประเทศไทยต้องยืนอยู่ลำพัง ก็ยังสามารถพึ่งพาตนเองได้ “เรามีอาหาร เรามีปัจจัยสี่ เรายังมีก๊าซธรรมชาติ และสามารถพัฒนาเทคโนโลยีได้เอง เรามีศักยภาพจะเป็นฐานผลิต เป็นซัพพลายเชน เป็นต้นทางของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้”
เพื่อยกตัวอย่างศักยภาพในการพัฒนาของไทย นายอนุทินได้กล่าวถึงการสัมผัสทรัพยากรไทยผ่านการเดินทางภายในประเทศว่า ทุกครั้งที่บินจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ มักเห็นพื้นที่กว้างใหญ่ที่ยังไม่ถูกพัฒนา ทั้งที่มีถนน ไฟฟ้า และชุมชนอยู่แล้ว “ผมยังสงสัยเลยว่าทำไมเราต้องไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่ของเรายังมีพื้นที่อีกมาก” เขากล่าว พร้อมตั้งคำถามถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ให้สิทธิประโยชน์เฉพาะเขต EEC ว่า “ทำไมจังหวัดอื่นถึงไม่ได้รับการสนับสนุนเท่ากัน เช่นศรีสะเกษ หนองบัวลำภู หรือนครสวรรค์ พื้นที่พวกนี้ก็มีศักยภาพ มีคนพร้อม มีแร่ในพื้นที่ ทำไมจะพัฒนาไม่ได้”
นายกรัฐมนตรียังอ้างถึงตัวอย่างในอดีตว่า การค้นพบแร่สังกะสีที่อำเภอผาแดง จังหวัดตาก เคยเปลี่ยนจังหวัดเล็ก ๆ ให้กลายเป็นศูนย์เศรษฐกิจสำคัญในภูมิภาค “พอมีการลงทุนเข้าไป จังหวัดนั้นก็เติบโตทันที สร้างงาน สร้างรายได้ให้ชาวบ้านมากมาย” นายอนุทินกล่าว พร้อมสรุปว่าแนวทางนี้คือสิ่งที่รัฐบาลต้องทำต่อ เพื่อให้ประเทศมีอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มั่นคงและแข็งแรง
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงแนวทางสร้างเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ภายในประเทศ โดยเน้น 3 องค์ประกอบหลัก คือ ความยุติธรรม (Justice) ที่ต้องเที่ยงธรรมจริง ๆ ความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วมของทุกคน (Inclusivity) และความโปร่งใส (Transparency) ในการบริหาร “ทุกคนต้องได้รับโอกาสเท่ากัน ไม่ใช่คนมีเส้นได้มากกว่าคนไม่มีเส้น” นายอนุทินกล่าว พร้อมเชื่อว่าการผลักดันให้ไทยเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) จะช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นของประเทศ เพราะสิ่งเหล่านี้คือรากฐานของประเทศไทยที่จะยืนอย่างมั่นคงในเวทีโลกและรักษาภูมิรัฐศาสตร์ของตัวเองได้
เมื่อถูกถามถึงแผนเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นความเชื่อมั่นในช่วงเวลาควบคุมรัฐบาลสั้น ๆ นายอนุทิน กล่าวว่ารัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลปากท้องประชาชน โดยมีเป้าหมายให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีส่วนร่วมผ่านนโยบายที่ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบและประชาชนรู้สึกมีส่วนร่วม โดยกล่าวว่านโยบาย “คนละครึ่งพลัส” ถูกออกแบบให้รัฐและประชาชนร่วมจ่าย เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายจริงและกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้จะมีผลเพียง 0.5-0.7 เปอร์เซ็นต์ แต่ถือว่าเป็นการสร้างแรงส่งให้ระบบเศรษฐกิจขยับตัว
นอกจากนี้ นายอนุทิน ยังระบุว่ารัฐบาลคำนึงถึงการเข้าถึงของทุกกลุ่มในโครงการคนละครึ่งพลัส โดยใช้ทั้งระบบดิจิทัลและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้คนชายขอบได้รับประโยชน์เท่าเทียมกัน การเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการถือเป็นการช่วยเหลือที่รวมทุกกลุ่มเข้าด้วยกันอย่าง “inclusive” ทำให้ประชาชนทุกระดับรู้สึกมีส่วนร่วมในกระบวนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ในด้านการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน นายอนุทินกล่าวว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เสียไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อช่วยประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบ เขากล่าวว่ามาตรการนี้เป็นสิ่งที่มีความหมายต่อผู้มีรายได้น้อยและจะช่วยลดภาระทางการเงินของครัวเรือนทั่วไป
สำหรับนโยบายพลังงาน นายกล่าวว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้รับมอบนโยบายให้เดินหน้าโครงการไฟฟ้าชุมชน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียวและให้ประชาชนคุ้นเคยกับพลังงานสะอาด โครงการนี้ตั้งเป้ากำลังผลิตรวม 1,500 เมกะวัตต์ โดยจำกัดไม่เกิน 5 เมกะวัตต์ต่อชุมชน เพื่อให้แต่ละพื้นที่สามารถผลิตและใช้ไฟฟ้าได้เอง หากมีไฟฟ้าเหลือสามารถขายคืนและนำรายได้เข้าสู่กองทุนพัฒนาหมู่บ้าน
ในช่วงท้าย เมื่อถูกถามถึงสามสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องการทำให้สำเร็จในวาระนี้ นายอนุทินกล่าวว่าอันดับแรกคือการยุบสภาภายในวันที่ 31 มกราคม พร้อมเร่งผลักดันนโยบายเศรษฐกิจให้เสร็จสิ้นก่อนการยุบสภา รวมถึงการเดินหน้าโครงการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” ภายในเดือนธันวาคม นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการแก้ปัญหาหนี้และการจัดการค่าโดยสารขนส่งสาธารณะซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องที่ต้องดำเนินการให้เสร็จ
นายอนุทินยังทิ้งท้ายถึงสถานการณ์ชายแดนว่าตั้งแต่เข้ามาบริหารยังไม่เกิดเหตุยิงหรือปะทะ พร้อมยืนยันว่าการเปิดด่านเป็นเรื่องที่ต้องรับฟังความคิดเห็นประชาชนและจะไม่ยอมให้ประเทศไทยเสียเปรียบในทางใดทางหนึ่ง โดยกล่าวว่ารัฐบาลมีจุดยืนชัดเจนว่าจะดูแลผลประโยชน์ของคนไทยเป็นหลัก