Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
สหรัฐ-จีนพักรบเขย่าไทย ห่วงโซ่ไหลกลับ ‘ดร.ปิติ’แนะปั้นเทคฯ-คน ดึงลงทุน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

สหรัฐ-จีนพักรบเขย่าไทย ห่วงโซ่ไหลกลับ ‘ดร.ปิติ’แนะปั้นเทคฯ-คน ดึงลงทุน

30 ต.ค. 68
19:36 น.
แชร์

การประชุม G2 Summit ระหว่างสหรัฐฯ และจีนจบลงด้วยสัญญาณ “พักรบทางการค้า” ที่ทั่วโลกจับตา เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจากระดับเฉลี่ย 57% เหลือราว 47% ขณะที่จีนตอบรับด้วยการกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และเปิดทางส่งออกแร่ธาตุหายาก (Rare Earths) อย่างเสรีอีกครั้ง การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นความเชื่อมั่นของตลาดโลก และช่วยคลายแรงกดดันที่ถ่วงระบบการค้าและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีตลอดช่วงสงครามการค้าหลายปีที่ผ่านมา

รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า ข้อตกลงดังกล่าวแม้ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวก แต่ยังเป็นเพียง “การพักรบชั่วคราว” มากกว่าการยุติความขัดแย้งอย่างแท้จริง เพราะหลายมาตรการยังอยู่ในระดับกรอบความร่วมมือที่ต่ออายุรายปี พร้อมเตือนว่าไทยต้องจับตาผลกระทบจากการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานที่อาจ “ไหลกลับ” ไปยังสองมหาอำนาจ ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อการลงทุน การผลิต และศักยภาพการแข่งขันของไทยในฐานะศูนย์กลางอุตสาหกรรมของภูมิภาค

G2 Summit ปลดล็อกการค้าโลก สหรัฐฯ ลดภาษี จีนคืนดีลแร่หายากและถั่วเหลือง

รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงผลการประชุม “G2: China–US Trade Summit” ซึ่งเป็นการเจรจาระดับสูงระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เพิ่งเสร็จสิ้น โดยระบุว่าผลลัพธ์หลักของการหารือครั้งนี้มีความสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกและต่อไทยโดยตรงในเชิงนโยบายการค้าและห่วงโซ่อุตสาหกรรม

หนึ่งในข้อตกลงสำคัญคือการที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจากราว 57% เหลือประมาณ 47% หลังการเจรจาสิ้นสุดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษีสินค้ากลุ่มสารตั้งต้นของยา Fentanyl ถูกปรับลดจาก 20% เหลือ 10% เพื่อแลกกับคำมั่นจากฝ่ายจีนว่าจะเข้มงวดในการควบคุมการส่งออกสารตั้งต้นเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ เนื่องจากปัญหายาเสพติดดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อสังคมอเมริกัน

อีกประเด็นที่ได้รับความสนใจคือข้อตกลงด้านแร่ธาตุสำคัญ (Rare Earths) ซึ่งเป็นหัวใจของห่วงโซ่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง โดยจีนให้คำมั่นว่าจะไม่สร้างอุปสรรคใหม่ต่อการส่งออกแร่ธาตุเหล่านี้ ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่า “All of the rare earth has been settled … there’s no roadblock at all on rare earths.” ทั้งสองฝ่ายตกลงให้ข้อตกลงนี้มีอายุเบื้องต้นหนึ่งปีและอาจต่ออายุได้ทุกปี

นอกจากนี้ จีนยังตกลงจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้า และยังมีการย้ำถึงความร่วมมือในประเด็นการปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะสารตั้งต้นของ Fentanyl ที่เป็นปัญหาสำคัญในสหรัฐฯ จีนให้คำมั่นว่าจะ “ทำงานอย่างหนัก” เพื่อยุติการไหลของสารเหล่านี้เข้าสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการลดภาษีของวอชิงตัน

อย่างไรก็ตาม มีหลายประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเลือกจะไม่ลงรายละเอียดในการประชุมครั้งนี้ โดยเฉพาะเรื่องไต้หวันซึ่งไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างเป็นทางการ แม้จะมีการกล่าวถึงประเด็นสงครามยูเครนและความร่วมมือด้านพลังงาน แต่ก็ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกในทันที ซึ่งสะท้อนว่าทั้งสองฝ่ายยังคงรักษาระดับความระมัดระวังทางการทูตในประเด็นที่อ่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์

การคลายปมการค้าและ “สัญญาณพักรบ” ของสองมหาอำนาจ

รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ วิเคราะห์ว่า ในมิติทางภูมิรัฐเศรษฐกิจ (geo-economics) ข้อตกลงที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีนครั้งนี้อาจถือเป็น “การคลายวิกฤติ” หรือการพักรบชั่วคราวระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ซึ่งจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นในระบบการค้าและตลาดโลก โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและวัตถุดิบสำคัญที่เคยถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองเชิงการค้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ขณะที่ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ประเด็นด้านความมั่นคง เช่น ไต้หวัน ถูกหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นจุดปะทะบนโต๊ะเจรจา แต่กลับมีการเปิดพื้นที่ใหม่ในการหารือในประเด็น “ห่วงโซ่แร่ธาตุสำคัญ” และ “ยาเสพติดข้ามชาติ” ซึ่งสะท้อนว่าทั้งสองฝ่ายเริ่มขยายขอบเขตการพูดคุยจากกรอบเดิมที่เคยจำกัดอยู่เพียงเรื่อง “ศุลกากรและอัตราภาษี” ไปสู่มิติทางความร่วมมือที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น

ดร.ปิติ ยังตั้งข้อสังเกตว่า แม้การเจรจาจะถูกมองว่าเป็นพัฒนาการเชิงบวก แต่ข้อตกลงจำนวนมากยังอยู่เพียงในระดับ “กรอบความร่วมมือ” (Framework) ที่ยังไม่มีผลผูกพันอย่างสมบูรณ์ เช่น ข้อตกลงการส่งออกแร่ rare earth และการซื้อถั่วเหลืองซึ่งมีอายุเพียงหนึ่งปีเท่านั้น อีกทั้งแม้จะมีการปรับลดภาษีนำเข้า แต่ภาระภาษีของจีนต่อสินค้าที่ส่งเข้าสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงราว 47% ซึ่งสะท้อนว่านี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของสงครามการค้า หากเป็นเพียง “การพักรบชั่วคราว” มากกว่า

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนยังคงสูงในหลายมิติ ทั้งการต่ออายุของข้อตกลง การปฏิบัติจริงของจีนในการควบคุมสารตั้งต้นของยา Fentanyl รวมถึงการบริหารจัดการด้านการนำเข้าและส่งออกแร่ Rare Earth ที่ยังต้องติดตามว่ามาตรการในทางปฏิบัติจะสามารถดำเนินไปได้จริงเพียงใดในระยะต่อไป

สำหรับภูมิภาคอาเซียน รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ชี้ว่า ต้องจับตาผลกระทบจากการ “จัดโครงสร้างใหม่ของห่วงโซ่อุปทานโลก” ที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างจีน สหรัฐฯ และประเทศที่มีทรัพยากรวัตถุดิบสำคัญ เนื่องจากการปรับตำแหน่งทางเศรษฐกิจของสองมหาอำนาจอาจส่งผลโดยตรงต่อเส้นทางการค้า การลงทุน และการผลิตในภูมิภาค ซึ่งอาเซียนอาจกลายเป็นทั้ง “พื้นที่โอกาส” และ “จุดเสี่ยง” ในเวลาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและการวางยุทธศาสตร์เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจขนาดใหญ่เหล่านี้

สิ่งที่ประเทศไทยต้องเฝ้าระวังจากผลประชุม US-China Trade Summit 

จากผลการประชุมดังกล่าว รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ เตือนว่าไทยต้องเฝ้าระวังผลกระทบจากการประชุม US-China Trade Summit ซึ่งอาจส่งแรงสั่นสะเทือนเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมในระยะยาว

ดร.ปิติ ระบุว่า ข้อตกลงด้านแร่ธาตุหายาก (Rare Earths) ระหว่างสหรัฐฯ และจีน อาจทำให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมระดับโลก “ไหลกลับ” ไปยังสองมหาอำนาจ แทนที่จะกระจายสู่ประเทศที่สามเหมือนในช่วงสงครามการค้า 2018-2023 ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อไทยและภูมิภาค โดยเฉพาะการลงทุนจากบริษัทอเมริกันและจีนที่เคยย้ายฐานมาภูมิภาค เช่น เขต EEC ของไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ที่อาจหยุดขยายหรือย้ายกลับ (Reshoring) ไปประเทศต้นทาง 

กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โลหะหายาก การประกอบเซมิคอนดักเตอร์ และสารเคมีต้นน้ำ ไทยจึงจำเป็นต้องสร้าง “โครงสร้างจูงใจใหม่” เพื่อให้ภูมิภาคยังเป็นจุดเชื่อมสำคัญของห่วงโซ่การผลิตโลก

ในภาคเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ การที่จีนกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ จะส่งผลให้ราคาพืชน้ำมันทั่วโลกผันผวนมากขึ้น ซึ่งรวมถึงปาล์มน้ำมันและถั่วเหลืองของไทย ขณะเดียวกัน การลดภาษีสินค้าจีนจะทำให้สินค้าจีนราคาถูกลงในตลาดโลก ส่งผลกดดันต่อผู้ผลิตไทยในอุตสาหกรรมเหล็ก เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่น และสิ่งทอ ไทยจึงควรพิจารณาใช้มาตรการป้องกันเชิงรุก เช่น การตั้งมาตรฐานสิ่งแวดล้อม (Green Standards) และมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ

ในด้านการลงทุน การคลี่คลายความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจนำไปสู่การแข่งขันดึงดูดการลงทุนรอบใหม่ในเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI ชิป และแบตเตอรี่ ซึ่งก่อนหน้านี้ไหลเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากทุนเทคโนโลยีไหลกลับไปยังสองประเทศมหาอำนาจ ไทยและอาเซียนอาจสูญเสียโอกาสในการต่อยอดนวัตกรรมในระยะยาว ดร.ปิติ แนะนำว่า ไทยควรเร่งสร้างพันธมิตรด้านเทคโนโลยีร่วมกับอาเซียน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย เพื่อรักษาความสำคัญในฐานะ “Third Node” ของห่วงโซ่เทคโนโลยีโลก

ในด้านการเงิน การลดภาษีสินค้าจีนอาจก่อให้เกิดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยผ่านภาวะ “Deflationary Import Pressure” สินค้าราคาถูกจากจีนจะกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ ขณะที่การฟื้นตัวของการค้าจีน-สหรัฐฯ อาจทำให้ค่าเงินหยวนแข็งขึ้นและส่งผลให้เงินบาทแข็งตาม ซึ่งจะส่งผลลบต่อผู้ส่งออกไทย ดร.ปิติ เสนอว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยและภาคเอกชนควรร่วมกันบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (FX Risk Management) และจัดตั้งเครื่องมือทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความเปราะบาง

ด้านภูมิรัฐศาสตร์ แม้ประเด็นไต้หวันจะไม่ถูกหยิบยกขึ้น แต่ในระยะกลางการแข่งขันเชิงเทคโนโลยีระหว่างสองขั้วอำนาจและการแบ่งขั้วเทคโนโลยี (AI Standards, 5G, Semiconductors) ยังคงดำรงอยู่ ไทยจึงต้องระวังแรงกดดันให้ “เลือกข้าง” ระหว่างมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐฯ กับจีน โดยควรรักษานโยบาย “เทคโนโลยีเป็นกลาง” (Tech Neutrality) และขยายความร่วมมือในกรอบ ASEAN+3 และ ASEAN+6 เพื่อรักษายุทธศาสตร์ “สมดุลแห่งความสัมพันธ์” (Balance of Relations) ที่ไทยใช้มาโดยตลอด

ในระยะยาว การฟื้นสัมพันธ์ของจีนและสหรัฐฯ อาจลดแรงดึงดูดของอาเซียนในฐานะฐานการผลิตต้นทุนต่ำ ไทยจึงจำเป็นต้องเร่งยกระดับทักษะแรงงาน (Upskill-Reskill) และขับเคลื่อนเศรษฐกิจนวัตกรรม (Innovation-based Economy) โดยเฉพาะการเร่งผนวกเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transition) เข้ากับโครงการ EEC ให้เร็วขึ้น รวมถึงใช้โอกาสจากความร่วมมือ ASEAN-China-US ใหม่ เพื่อดึงดูดทุนใหม่ในภาคการศึกษาและเทคโนโลยี

ดร.ปิติ ปิดท้ายด้วยคำเตือนเชิงสัญลักษณ์ที่อ้างถึงคำกล่าวของ ลี กวน ยู อดีตผู้นำสิงคโปร์ว่า “เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ แต่หากช้างสาร Make Love กัน นั่นต่างหากคือภัยพิบัติ” สะท้อนความเป็นจริงของประเทศขนาดกลางอย่างไทยที่ต้องยืนหยัดอยู่บนความสมดุล มากกว่าการพึ่งพาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในโลกสองขั้วที่กำลังฟื้นสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน



แชร์
สหรัฐ-จีนพักรบเขย่าไทย ห่วงโซ่ไหลกลับ ‘ดร.ปิติ’แนะปั้นเทคฯ-คน ดึงลงทุน