หลายคนพอเห็นข่าวศาลสหรัฐฯ ขวางคำสั่งขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ ก็คงรู้สึกโล่งใจ คิดว่าอย่างน้อยสงครามการค้าอาจจะเบาลง และผลกระทบต่อไทยก็คงจะน้อยลงตามไปด้วย
แต่ KKP Research กลับตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ที่น่ากลัวกว่าภาษีของทรัมป์...คือการส่งออกของจีน ที่ส่งสินค้าราคาถูกทะลักเข้ามายังไทยและอาเซียนสร้างผลกระทบต่อภาคธุรกิจของไทย
จีนยังคงมี “กำลังการผลิตส่วนเกิน” อยู่อย่างมหาศาล และเมื่อจีนถูกกีดกันจากตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ของโลก ก็ยิ่งต้องหาทางระบายสินค้าไปยังตลาดอื่น ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายหลักก็คือ “อาเซียน” และแน่นอน “ไทย” เองก็อยู่ในเส้นทางนั้น
เรากำลังพูดถึงสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้าไปจนถึงเครื่องจักรกล ที่จีนสามารถผลิตได้ในปริมาณมหาศาลและต้นทุนต่ำมาก ถ้าผู้ผลิตจีนยังลดราคาสู้ไม่ถอย เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด ความเสี่ยงที่ตามมาก็คือ ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในภาคการผลิตอาจไม่สามารถแข่งขันได้ ทั้งด้านต้นทุนและราคาขาย
จากข้อมูลพบว่า ราคาสินค้าส่งออกของจีนในเกือบทุกหมวดลดลง โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ รองเท้า สิ่งทอ ข้อมูลตรงข้ามกับปริมาณการส่งออกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าเหล็ก เครื่องจักร และเครื่องใช้ไฟฟ้า
นี่อาจเป็นแรงกระแทกเงียบ ๆ ที่กัดกร่อนการจ้างงานและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ยิ่งถ้ารัฐบาลไม่มีมาตรการรองรับ ก็อาจกลายเป็นแรงกดดันแบบ “เงินฝืด” ที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวโดยที่ราคาสินค้าก็ไม่ขยับขึ้น การลงทุนไม่เกิด กำลังซื้อไม่ฟื้น
กลับมาที่ฝั่งสหรัฐฯ แม้คำสั่งศาลจะดูเหมือนเป็น “เบรกมือ” ชั่วคราวใส่นโยบายภาษีของทรัมป์ แต่จริง ๆ แล้วสถานการณ์นี้ไม่น่าจะจบง่าย ๆ
KKP Research ระบุว่า คำสั่งของศาลการค้านอกจากไม่ได้เปลี่ยนภาพระยะยาวของนโยบายการค้าสหรัฐฯ แล้ว ยังอาจทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามเลี่ยงไปหาช่องทางอื่น ๆ ที่ทำได้ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลแฝดที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยมาตรการภาษีการค้าก็จะยังเป็นเครื่องมือสำคัญอยู่ แต่อาจทำให้การเจรจาของไทยมีความซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม
โดยตามกฎหมาย ประธานาธิบดียังมีอำนาจอื่นในการขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ได้ ตัวอย่างเช่น มาตรา 122กฎหมายการค้าปี 1974 (Trade Act of 1974) ให้อำนาจประธานาธิบดีในการขึ้นภาษี 15% เป็นระยะเวลา 150 วันได้ในกรณีที่สหรัฐฯ เผชิญกับปัญหาดุลชำระเงิน และในระหว่างนั้นทรัมป์สามารถให้ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เริ่มการสอบสวนการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้าเพื่อใช้มาตรา 301 ในการตั้งกำแพงภาษีในกลุ่มสินค้าสำคัญ (ภาษีนำเข้าที่ขึ้นกับจีนในหลายสินค้าอาศัยกฎหมายมาตรานี้) เป็นต้น
หากสุดท้ายศาลสูงสหรัฐฯ มีคำสั่งไม่ให้ขึ้นภาษีนำเข้าอยู่ ทรัมป์จะยังสามารถขึ้นภาษีนำเข้าโดยผ่านกระบวนการรัฐสภาซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจเก็บภาษีการค้าที่แท้จริงตามรัฐธรรมนูญและพรรครีพับลิกันยังครองเสียงข้างมากในทั้ง 2 สภาอยู่ แม้อาจใช้เวลาก็ตาม
อย่างไรก็ตามต้นตอที่ทำให้สหรัฐฯลุกขึ้นมาทำสงครามการค้า เพราะปัญหาที่อยู่ลึกลงไปคือ “การขาดดุลสองทาง” ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันว่า Twin Deficits หมายความว่า สหรัฐฯ ขาดทั้งดุลการค้าและดุลการคลัง ซึ่งตอนนี้ทั้ง 2 อยู่ในระดับที่น่าห่วงมาก
ในปัจจุบันการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งมีมูลค่าสูงถึงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีแล้ว ส่งผลให้หากสหรัฐฯ ไม่มีมาตรการลดการขาดดุลที่ชัดเจน สหรัฐฯ จะมีแนวโน้มที่ต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อจ่ายค่านำเข้าสินค้าจากการขาดดุลในระดับสูงในกรณีนี้ปัญหาการขาดดุลการค้าจะกลายเป็นต้นเหตุที่นำไปสู่ปัญหาการขาดดุลทางการคลังตามมาหรือที่ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่าการขาดดุลแฝด
ในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ โตใกล้เคียงกับปัจจุบัน ระดับการขาดดุลตอนนี้จะทำให้ระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจากระดับ 122% ต่อ GDP ที่สูงอยู่แล้วในปัจจุบันจะสูงขึ้นไปเป็น 156% ในปี 2035 และจะไม่สามารถปรับตัวลดลงได้ในระยะยาว สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นประเด็นที่นักลงทุนมีความกังวลต่อความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการด้อยค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะยาวตามไปด้วย
ภาษีนำเข้า แม้จะเป็นนโยบายที่ขัดแย้ง แต่จึงยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้กดดันประเทศคู่ค้าให้ “เปิดตลาด” มากขึ้น หรือ “ซื้อของสหรัฐฯ” มากขึ้น และในทางกลับกัน ก็อาจถูกใช้เพื่อเก็บรายได้เข้ารัฐ แก้ปัญหาการคลังไปในตัว
ถ้ามองให้ลึกลงไป KKP มองว่า นี่ไม่ใช่แค่สงครามการค้าแบบยุค 1930 ที่แต่ละประเทศพยายามตั้งกำแพงภาษีใส่กัน แต่เป็น “ความไม่สมดุลทางการค้า” ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย หรือพูดอีกแบบคือ “ประเทศที่บริโภคมากเกินไป” อย่างสหรัฐฯ กับ “ประเทศที่บริโภคน้อยเกินไป” อย่างจีน
จีนเกินดุลการค้าสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศกลับอ่อนแอ นั่นแปลว่า ถ้าจีนยังต้องการเติบโต เขาจำเป็นต้อง “พึ่งตลาดต่างประเทศ” มากขึ้นไปอีก
ในขณะที่สหรัฐฯ บริโภคเกินตัว และต้องหา “ตัวช่วย” มาชะลอการขาดดุลนี้ลง ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นภาษี ดึงการผลิตกลับประเทศ หรือกดดันให้คู่ค้าเปิดตลาด
ทั้งหมดนี้ชี้ว่า สงครามการค้าระหว่างสองประเทศอาจไม่ใช่แค่เรื่องของภาษีหรือดุลการค้า แต่เป็นเรื่องของ "โมเดลเศรษฐกิจที่สวนทางกัน"
การปรับสมดุลโลกเศรษฐกิจคงไม่ใช่สิ่งที่ไทยจะไปควบคุมได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือ “อ่านเกมให้ขาด” และ “เตรียมรับมือ” กับผลกระทบที่กำลังกระทบ ซึ่งแท้จริงแล้วเสียงเรียกร้องของธุรกิจไทย ที่ถูกกระทบจากสินค้าจีนทะลักดังออกมาก่อนที่สงครามการค้ารอบนี้จะปะทุขึ้นด้วยซ้ำ
การเจรจาทางการค้าเพื่อกันไม่ให้ไทยถูกตั้งกำแพงภาษีเป็นสิ่งสำคัญ แต่คงไม่เพียงพอ ในเวลานี้ เพราะศัตรูตัวจริงอาจไม่ใช่แค่ภาษี...แต่อาจเป็นสินค้า “ราคาถูก” จากจีน
ที่มา : KKP Research