Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ส่องแผน ตลท. จะดึงนักลงทุนอย่างไร ท่ามกลางความท้าทาย-ไร้ปัจจัยปวก
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ส่องแผน ตลท. จะดึงนักลงทุนอย่างไร ท่ามกลางความท้าทาย-ไร้ปัจจัยปวก

9 ธ.ค. 68
20:49 น.
แชร์

ได้ยินข่าวกันมาสองสามปีว่า ตลาดหุ้นไทยทำผลงานรั้งท้ายตลาดโลก และในปี 2568 นี้บรรยากาศก็ยังคงอึมครึมตลอดปี แม้ว่าหากดูในภาพใหญ่ จะเห็นว่าในปีนี้เงินลงทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่มากขึ้น แต่ตลาดหุ้นไทยก็ยังคงไม่ได้อานิสงส์ 

มีหลายปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยอ่อนแอ หากนับเฉพาะปัจจัยภายในหลัก ๆ คือ เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเชื่องช้า ส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และเรื่องความไม่โปร่งใสของบริษัทจดทะเบียนในหลาย ๆ กรณีที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน 

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พยายามจะดึงดูดนักลงทุนตลอดปี 2568 ที่ผ่านมา แต่ก็ต้องยอมรับว่า “ไม่ง่าย” อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยืนยันว่าจะพยายามต่อไป โดยมองว่า ‘การสร้างความเชื่อมั่น’ คือคำตอบ แต่ยังคงเป็นคำถามว่าจะสร้างได้หรือไม่ เมื่อยังต้องเผชิญหลายความท้าทาย ขณะที่ปัจจัยบวกยังไม่มี

ตลท.มุ่งมั่นดึงดูดนักลงทุน 

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า โดยพื้นฐานแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความตั้งใจที่จะดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย ทุกมาตรการและแผนงานของ ตลท.ในปัจจุบันมีเป้าหมายเดียวกัน คือ การดึงดูดนักลงทุนให้กลับเข้าสู่ตลาดทุนไทย ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบันในประเทศ หรือนักลงทุนสถาบันจากต่างประเทศ แต่ต้องการดึงดูดนักลงทุนที่เป็น ‘นักลงทุนคุณภาพ’

การจะดึงดูดนักลงทุนนั้นต้องย้อนกลับมาที่โจทย์สำคัญของตลาดทุน นั่นคือ จะทำอย่างไรให้ ‘สินค้าในตลาด’ หรือบริษัทจดทะเบียนของไทยมีความน่าสนใจมากพอที่จะดึงดูดนักลงทุนเข้ามาได้ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ได้ใช้โครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน (JUMP+) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย และเพิ่มความน่าสนใจของบริษัทจดทะเบียนในตลาดทุนไทย 

อัสสเดชกล่าวโดยเปรียบเทียบว่า ในปี 2568 นี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯดึงดูดเงินลงทุนเข้าไปมหาศาลด้วยความน่าสนใจของหุ้นเทคโนโลยีที่ได้แรงหนุนจากเทรนด์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในทางกลับกัน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยไตรมาสที่ผ่านมาโดยรวมกลับติดลบ แม้กำไรสุทธิ (net profit) อาจดูดีเพราะมีรายการพิเศษเกิดขึ้น แต่หากดู ‘กำไรจากการดำเนินงานหลัก’ หรือ core profit จะเห็นว่าสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง 

ในบริบทเช่นนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯพยายามใช้โครงการ JUMP+ สร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนมุ่งมั่นเสริมสร้างมูลค่าบริษัท เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และกลับมาทำให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเป็นบริษัทที่น่าลงทุนในสายตานักลงทุน 

“ราคาหุ้นจะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีคนอยากซื้อมากกว่าคนอยากขาย และราคาจะลงเมื่อมีคนอยากขายมากกว่าคนอยากซื้อ เป็นหลักการง่าย ๆ ดังนั้น ต้องทำยังไงให้คนอยากซื้อมากกว่าคนอยากขาย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ฯเองยืนยันว่ามุ่งมั่นแน่นอน” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าว 

เจอหลายเหตุการณ์กระทบ การดึงนักลงทุนใหม่ยังท้าทาย 

ในปีนี้ ตลาดหุ้นไทยที่ซึมอยู่แล้วเป็นทุนเดิมได้รับผลกระทบจากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งการเมืองในประเทศ ภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) สงครามการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงภัยพิบัติ  

รองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานกฎหมายและบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ในฐานะโฆษกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่หนักมากของตลาดหุ้นไทยซึ่งต้องเผชิญแรงกดดันและผลกระทบจากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดปี

รองรักษ์ยอมรับว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยไม่สู้ดี MSCI ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยลงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเหลือเพียง 19 หุ้น ขณะที่จำนวนบริษัทที่เข้าระดมทุนใหม่ (IPO) ก็ลดลงอย่างชัดเจน โดยที่ผ่านมามูลค่าหุ้น IPO ไทยเคยอยู่ระดับสูงสุดในอาเซียน แต่ปีนี้กลับต่ำที่สุด คาดว่าจะปิดปีที่มูลค่าเสนอขายราว 348 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับในอดีต เนื่องจากทั้งเซนติเมนต์ด้านลบของตลาด และมีปัจจัยจากภายนอกเข้ามากระทบ 

รองรักษ์กล่าวอีกว่า ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ความเชื่อมั่นผู้ลงทุนอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ แต่ขณะนี้เทรนด์กำลังฟื้นตัว หากทิศทางยังเป็นไปเช่นนี้ ความเชื่อมั่นน่าจะดีขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ต้องแยกให้ชัดระหว่าง ‘ความเชื่อมั่น’ กับ ‘การเข้ามาลงทุนจริง’ เพราะแม้บรรยากาศจะเริ่มดี แต่อาจไม่ได้หมายความว่านักลงทุนจะเข้ามาลงทุน 

อย่างไรก็ตาม มองจากปัจจุบันไปถึงระยะยาว รองรักษ์กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเผชิญปัญหาความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลงอย่างมาก คำถามสำคัญคือจะทำอย่างไรให้ผู้ลงทุนรายย่อยกลับมา คำตอบคือ ต้องเริ่มต้นที่การสร้างทัศนคติการลงทุนใหม่  ซึ่งการจะสร้างทัศนคติการลงทุนใหม่ได้ต้องทำให้ผู้คนมีความเชื่อมั่นในตลาดทุน 

รองรักษ์กล่าวว่า ความท้าทายหนึ่งในการดึงนักลงทุนรายย่อยเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย คือ โครงสร้างนักลงทุนกำลังเปลี่ยนผ่าน จากอดีตที่นักลงทุนหลักเป็น Gen X ปัจจุบันกลายเป็น Gen Y และ Gen Z ซึ่งมีพฤติกรรมต่างจากคนรุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด คนรุ่น X มักลงทุนรับปันผลและเน้นการถือยาว ขณะที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจกับสินทรัพย์ที่หวือหวา เช่น คริปโตเคอร์เรนซี และยังมีทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายขึ้น โดยสามารถกระจายเงินไปลงทุนต่างประเทศได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ผ่านเครื่องมืออย่าง DR ส่งผลให้เม็ดเงินที่เคยอยู่ในตลาดหุ้นไทยกระจายตัวออกไปอยู่ในสินทรัพย์นอกประเทศมากขึ้น

ความท้าทายตลาดหุ้นไทย ปี 2569 

สำหรับความท้าทายของตลาดหุ้นไทยในปี 2569 รองรักษ์ โฆษก ตลท. มองว่ามีความท้าทาย 4 เรื่อง ได้แก่ 

1. อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย ซึ่งคาดว่า GDP ไทยอาจเติบโตอยู่ในระดับท้าย ๆ ของอาเซียน ซึ่งสภาวะเศรษฐกิจมหภาคเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยทำผลงานรั้งท้ายตลาดโลกในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงพยายามผลักดันโครงการ Jump+ เพื่อชู ‘เพชรในตม’ ขึ้นมาดึงดูดนักลงทุนให้เห็นศักยภาพบริษัทไทย

2. ความเสี่ยงจากสงครามการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่คลี่คลาย 

3. บริษัทไทยจำนวนหนึ่งอาจเลือกไปจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศ 

4. การสร้าง trust and confidence (ความไว้วางใจและความเชื่อมั่น) และยกระดับธรรมาภิบาลตลาดทุนให้ได้มาตรฐานสากล โดยเฉพาะตามกรอบของ OECD ที่ไทยต้องการเข้าเป็นสมาชิก 

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลท. เสริมในเรื่องนี้ว่า OECD ให้ข้อสังเกตว่า บริษัทในตลาดทุนไทยยังทำเพียงในลักษณะ ‘tick the box’ คือทำเพื่อให้ผ่านเกณฑ์ แต่ธรรมาภิบาลที่แท้จริงต้องฝังอยู่ในวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งไทยจำเป็นต้องคิดหาวิธีผลักดันอย่างต่อเนื่อง

แผนดึงนักลงทุนปี 2569 เดินหน้า ‘สร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย’ 

สำหรับแผนการดึงดูดนักลงทุนในปี 2569 ที่กำลังมาถึง รองรักษ์บอกว่า ตลท.จะเดินหน้ามาตรการ ‘สร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย’ ซึ่งประกอบด้วย 4 มาตรการหลัก ได้แก่ 

1. Quality Demand ประกอบด้วย (1) การสร้างวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาวผ่านบัญชีการลงทุนส่วนบุคคล เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุนระยะยาวและกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย มีการขยายฐานผู้ลงทุนกลุ่มใหม่ เพิ่มการให้บริการการลงทุนในตลาดหุ้นและผลิตภัณฑ์ของบริษัทหลักทรัพย์ รวมถึงสร้างศูนย์รวมข้อมูลพอร์ตของผู้ลงทุน (wealth aggregator) และ (2) การส่งเสริมบทบาทผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดทุนไทย

2. Attractive Supply ประกอบด้วย (1) การดึงดูดกิจการที่มีศักยภาพและคุณภาพเข้าสู่ตลาดทุนไทย (2) การยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในปัจจุบัน ผ่านโครงการ Jump+ และ Value Up Program (3) การปรับขั้นตอนการออกและเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ให้มีประสิทธิภาพและทำให้ตลาดทุนไทยเป็นที่น่าสนใจและสามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้ (4) การปรับปรุงเกณฑ์การเข้าถึงแหล่งระดมทุนของ SMEs และ New Economy ให้น่าสนใจ และ (5) การเปิดเผยข้อมูล ESG ตามมาตรฐาน ISSB และมุ่งผลให้เกิดการปฏิบัติจริง เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนที่คำนึงถึงความรับผิดชอบด้าน ESG ในระดับสากล

3. Trusted Market ประกอบด้วย (1) การสร้างความเข้มแข็งในการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนและการบังคับใช้กฎหมาย (2) การยกระดับการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน (gatekeepers) เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสม (3) การใช้เทคโนโลยีเพิ่มช่องทางเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของบริษัทขนาดกลางและเล็ก 

4.Supportive Ecosystem ประกอบด้วย (1) การเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนในการสร้างผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย (2) นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการลงทุนของผู้ลงทุนรายย่อยและเปลี่ยนผ่านตลาดทุนสู่ตลาดทุนดิจิทัล (3) ทบทวนหลักเกณฑ์การซื้อขายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ลงทุน และ (4) การให้ผู้ลงทุนต่างประเทศสามารถใช้สิทธิ e-proxy ได้สะดวกขึ้น

แชร์
ส่องแผน ตลท. จะดึงนักลงทุนอย่างไร ท่ามกลางความท้าทาย-ไร้ปัจจัยปวก