Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ราคาทองร่วงแรงสุดใน 12 ปี ต้องจับตาดูอะไรต่อไป? มีโอกาสขึ้นอีกหรือไม่?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ราคาทองร่วงแรงสุดใน 12 ปี ต้องจับตาดูอะไรต่อไป? มีโอกาสขึ้นอีกหรือไม่?

22 ต.ค. 68
12:41 น.
แชร์

ในคืนวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาทองคำดิ่งลงอย่างรุนแรงถึง 6.3% ภายในวันเดียว ถือเป็นการร่วงหนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2556 โดยราคาทองคำทรุดจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,381 ดอลลาร์ ลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 4,082 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การร่วงลงครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาดทั่วโลก เนื่องจากเป็นการเทขายครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 12 ปี

แรงขายมหาศาลดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะ “ทำกำไร” หลังจากราคาทองทะลุจุดสูงสุดตลอดกาลในวันก่อนหน้า การร่วงลงนี้จึงถูกมองโดยนักวิเคราะห์ว่าเป็น “การพักฐานทางเทคนิค” มากกว่าจะเป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว

ไม่เพียงแต่ทองคำเท่านั้น โลหะมีค่าอื่น ๆ อย่างซิลเวอร์ แพลทินัม และพัลลาเดียมต่างร่วงลงตามกัน โดยซิลเวอร์ทรุดกว่า 7.5% สู่ระดับ 47.12 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แพลทินัมร่วงประมาณ 7% เหลือ 1,523 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนพัลลาเดียมลดลง 6.6% เหลือ 1,398 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนภาวะ “เทขายโลหะมีค่าทั่วกระดาน” ที่ได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งการแข็งค่าของดอลลาร์ การคลี่คลายของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และภาวะซื้อมากเกินไปในตลาดก่อนหน้านี้

ดอลลาร์แข็งค่าและแรงขายทำกำไร ฉุดราคาทองคำร่วงหนักที่สุดในรอบทศวรรษ

การร่วงลงของราคาทองคำครั้งนี้เกิดจากแรงกดดันหลายปัจจัยที่ผสมผสานกัน โดยเฉพาะการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ราคาทองคำที่ซื้อขายในสกุลดอลลาร์แพงขึ้นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ และทำให้นักลงทุนต้องการซื้อทองลดลง โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar Index: DXY) ปรับขึ้น 0.33% แตะ 98.91 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสัปดาห์ และเพิ่มขึ้นประมาณ 1.6% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา แม้จะยังต่ำกว่าระดับของปีก่อนราว 5%

ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 จุดพื้นฐานในสัปดาห์หน้า และอาจมีการลดเพิ่มเติมภายในปีนี้ ความคาดหวังดังกล่าวทำให้ตลาดเชื่อมั่นมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ส่งผลให้นักลงทุนย้ายเงินทุนจากสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำไปสู่ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มคลี่คลายยังลดแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงกำหนดการพบปะระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวกในตลาดโลก และลดแรงกดดันต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม

นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered มองว่าการเทขายรอบนี้เป็น “การปรับฐานทางเทคนิคที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” หลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและมีการเก็งกำไรเกินจริง ขณะที่ Bart Melek หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของ TD Securities ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า “นักลงทุนและผู้ค้าทองคำต่างขายทำกำไร หลังจากราคาพุ่งขึ้นในระดับที่ไม่อาจยืนระยะได้”

แรงขายยังได้รับแรงหนุนจากสัญญาณทางเทคนิคที่ชี้ถึงภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) โดยดัชนี RSI ของทองคำพุ่งขึ้นเกิน 70 จุด ซึ่งเป็นระดับที่มักตามมาด้วยการพักฐานในรอบก่อนหน้า ขณะเดียวกัน กองทุน ETF ทองคำรายใหญ่ในยุโรปและเอเชียได้ลดการถือครองลงกว่า 15 ตันภายในสองวันทำการล่าสุด

ตลาดซิลเวอร์ก็ได้รับผลกระทบในทิศทางเดียวกัน โดยราคาซิลเวอร์ร่วงลงถึง 7.5% แตะระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน นักลงทุนเทขายทั้งโลหะมีค่าและโลหะอุตสาหกรรมหลังจากดอลลาร์แข็งค่า อีกทั้งซิลเวอร์เองก็อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไปเช่นกัน หลังจากราคาปรับขึ้นมากกว่า 60% นับตั้งแต่ต้นปี

นักวิเคราะห์นอกมองทองคำยังพื้นฐานแกร่ง เตือน “อย่าตื่นตระหนก”

ทั้งนี้ แม้ราคาทองจะร่วงแรง แต่ในภาพรวมนักวิเคราะห์มองว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุดในปี 2568 โดยเพิ่มขึ้นกว่า 60% ตั้งแต่ต้นปี ปัจจัยหลักที่หนุนราคาทอง ได้แก่

  • การซื้อสะสมของธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียและตะวันออกกลาง
  • ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อทั่วโลก แม้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐจะเริ่มชะลอ แต่ยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายของ Fed
  • การคาดการณ์ลดดอกเบี้ยทั่วโลกที่ส่งผลให้ต้นทุนถือครองทองคำลดลง
  • ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ในยูเครน ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออก

จากการรายงานของ The Economic Times นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าการร่วงครั้งนี้เป็น “การพักฐานเพื่อรีเซ็ตแรงซื้อ” มากกว่าการเปลี่ยนแนวโน้มระยะยาว โดยยังเชื่อว่าทองคำจะได้แรงหนุนกลับจากความผันผวนในตลาดทุนโลกและการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินในประเทศพัฒนาแล้ว

ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแนะนำว่า นักลงทุนไม่ควรตื่นตกใจและรีบนำทองไปขาย แต่ควรใช้ช่วงราคาทองคำอ่อนตัวเพื่อทยอยสะสม และติดตามรายงานเศรษฐกิจและประกาศจากเฟดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อราคาทองยังอยู่ในกรอบสูงแต่มีเสถียรภาพทางพื้นฐาน ทั้งในด้านอุปสงค์จากธนาคารกลางและภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ทองคำ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานสะอาด และเทคโนโลยี AI

นอกจากนี้ นักลงทุนควรติดตามการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ที่จะออกในสัปดาห์หน้า รวมถึงการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งอาจเป็นปัจจัยชี้นำทิศทางอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่ มีผลโดยตรงต่อราคาทองคำในระยะสั้น ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และบรรยากาศความเชื่อมั่นของนักลงทุน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความผันผวนของตลาดทองคำเช่นกัน

นอกจากทองคำแล้ว นักลงทุนอาจพิจารณาจับตาโลหะมีค่ากลุ่มอื่น เช่น เงิน แพลทินัม และพัลลาเดียม ซึ่งมักเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน โลหะเหล่านี้ถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถใช้กระจายความเสี่ยง หรือใช้เก็งกำไรในจังหวะตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในภาพรวม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่า “การร่วงลงของทองคำในวันที่ 21 ตุลาคมเป็นการปรับฐานปกติในวัฏจักรขาขึ้น” และไม่เปลี่ยนมุมมองบวกต่อราคาทองคำในระยะยาว ทองคำยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอน และการอ่อนค่าของสกุลเงินหลัก ซึ่งหมายความว่าในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน  ทองคำยังคงเป็น “หลักประกันแห่งความมั่นคง” ของนักลงทุนทั่วโลก

นักวิเคราะห์ไทยมองทองคำพักฐาน ลุ้นผ่าน 4,130 ดอลลาร์วันนี้ ส่อสัญญาณฟื้น

ด้าน YLG Bullion and Futures มองว่า ราคาทองคำวานนี้หลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 4,267 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนให้เห็นว่ากระแสเชิงบวกเริ่มอ่อนแรงลง และตลาดกำลังกลับเข้าสู่ช่วงการปรับฐานครั้งใหญ่ อีกระลอก หลังจากที่ราคาปรับขึ้นต่อเนื่องมาหลายเดือน อย่างไรก็ตาม ภาพรวมระยะกลางถึงระยะยาวยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ตราบใดที่ราคายังสามารถยืนเหนือระดับ 3,409 ดอลลาร์ ได้ การอ่อนตัวในรอบนี้ยังถือเป็นเพียงการพักฐานเพื่อสะสมแรงขึ้นต่อในอนาคต

สำหรับแนวโน้มระยะสั้นในวันนี้ ตลาดให้ความสนใจกับแนวต้านบริเวณ 4,130 ดอลลาร์ หากราคายังไม่สามารถผ่านระดับนี้ไปได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าการปรับฐานจะยังไม่สิ้นสุด แต่หากราคาทะลุผ่านขึ้นไปได้ พร้อมกับสร้างจุด Higher Low เหนือระดับ 4,000 ดอลลาร์ จะเป็นสัญญาณเชิงบวกว่าการพักฐานใกล้สิ้นสุดและตลาดอาจกลับเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวอีกครั้ง

ในเชิงกลยุทธ์ นักลงทุนระยะสั้นยังสามารถมองโอกาสเข้าซื้อได้ หากราคายังคงยืนเหนือโซน 4,040-4,000 ดอลลาร์ โดยควรกำหนดจุดตัดขาดทุนหากราคาหลุด 4,000 ดอลลาร์ลงไป ขณะเดียวกัน หากราคาปรับขึ้นแต่ไม่สามารถผ่านแนวต้าน 4,130 ดอลลาร์ได้ อาจพิจารณาทยอยขายทำกำไรบางส่วน แต่หากราคาสามารถฝ่าระดับ 4,380 ดอลลาร์ขึ้นไปได้ การเคลื่อนไหวจะกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นเต็มรูปแบบ และควรรอขายบริเวณแนวต้านถัดไปเพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุด

ด้าน Globlex มองว่าราคาทองคำมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวน ภายใต้แรงกดดันจากความคืบหน้าการเจรจาชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งอาจสิ้นสุดลงภายในสัปดาห์นี้ ส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีแรงขายทำกำไร หลังราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้าน 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ทำให้ภาพรวมยังมีแรงกดดันต่อเนื่อง โดยแนะนำให้ทยอยลดสถานะซื้อเมื่อราคาปรับขึ้นใกล้แนวต้าน 4,130-4,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์


อ้างอิง: The Economic Times

แชร์
ราคาทองร่วงแรงสุดใน 12 ปี ต้องจับตาดูอะไรต่อไป? มีโอกาสขึ้นอีกหรือไม่?