ในคืนวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาทองคำดิ่งลงอย่างรุนแรงถึง 6.3% ภายในวันเดียว ถือเป็นการร่วงหนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2556 โดยราคาทองคำทรุดจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,381 ดอลลาร์ ลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 4,082 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การร่วงลงครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาดทั่วโลก เนื่องจากเป็นการเทขายครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 12 ปี
แรงขายมหาศาลดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะ “ทำกำไร” หลังจากราคาทองทะลุจุดสูงสุดตลอดกาลในวันก่อนหน้า การร่วงลงนี้จึงถูกมองโดยนักวิเคราะห์ว่าเป็น “การพักฐานทางเทคนิค” มากกว่าจะเป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว
ไม่เพียงแต่ทองคำเท่านั้น โลหะมีค่าอื่น ๆ อย่างซิลเวอร์ แพลทินัม และพัลลาเดียมต่างร่วงลงตามกัน โดยซิลเวอร์ทรุดกว่า 7.5% สู่ระดับ 47.12 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แพลทินัมร่วงประมาณ 7% เหลือ 1,523 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนพัลลาเดียมลดลง 6.6% เหลือ 1,398 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนภาวะ “เทขายโลหะมีค่าทั่วกระดาน” ที่ได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งการแข็งค่าของดอลลาร์ การคลี่คลายของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และภาวะซื้อมากเกินไปในตลาดก่อนหน้านี้
การร่วงลงของราคาทองคำครั้งนี้เกิดจากแรงกดดันหลายปัจจัยที่ผสมผสานกัน โดยเฉพาะการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ราคาทองคำที่ซื้อขายในสกุลดอลลาร์แพงขึ้นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ และทำให้นักลงทุนต้องการซื้อทองลดลง โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar Index: DXY) ปรับขึ้น 0.33% แตะ 98.91 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสัปดาห์ และเพิ่มขึ้นประมาณ 1.6% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา แม้จะยังต่ำกว่าระดับของปีก่อนราว 5%
ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 จุดพื้นฐานในสัปดาห์หน้า และอาจมีการลดเพิ่มเติมภายในปีนี้ ความคาดหวังดังกล่าวทำให้ตลาดเชื่อมั่นมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ส่งผลให้นักลงทุนย้ายเงินทุนจากสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำไปสู่ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เริ่มคลี่คลายยังลดแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงกำหนดการพบปะระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวกในตลาดโลก และลดแรงกดดันต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม
นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered มองว่าการเทขายรอบนี้เป็น “การปรับฐานทางเทคนิคที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” หลังจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและมีการเก็งกำไรเกินจริง ขณะที่ Bart Melek หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของ TD Securities ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า “นักลงทุนและผู้ค้าทองคำต่างขายทำกำไร หลังจากราคาพุ่งขึ้นในระดับที่ไม่อาจยืนระยะได้”
แรงขายยังได้รับแรงหนุนจากสัญญาณทางเทคนิคที่ชี้ถึงภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) โดยดัชนี RSI ของทองคำพุ่งขึ้นเกิน 70 จุด ซึ่งเป็นระดับที่มักตามมาด้วยการพักฐานในรอบก่อนหน้า ขณะเดียวกัน กองทุน ETF ทองคำรายใหญ่ในยุโรปและเอเชียได้ลดการถือครองลงกว่า 15 ตันภายในสองวันทำการล่าสุด
ตลาดซิลเวอร์ก็ได้รับผลกระทบในทิศทางเดียวกัน โดยราคาซิลเวอร์ร่วงลงถึง 7.5% แตะระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน นักลงทุนเทขายทั้งโลหะมีค่าและโลหะอุตสาหกรรมหลังจากดอลลาร์แข็งค่า อีกทั้งซิลเวอร์เองก็อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไปเช่นกัน หลังจากราคาปรับขึ้นมากกว่า 60% นับตั้งแต่ต้นปี
ทั้งนี้ แม้ราคาทองจะร่วงแรง แต่ในภาพรวมนักวิเคราะห์มองว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นที่สุดในปี 2568 โดยเพิ่มขึ้นกว่า 60% ตั้งแต่ต้นปี ปัจจัยหลักที่หนุนราคาทอง ได้แก่
จากการรายงานของ The Economic Times นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าการร่วงครั้งนี้เป็น “การพักฐานเพื่อรีเซ็ตแรงซื้อ” มากกว่าการเปลี่ยนแนวโน้มระยะยาว โดยยังเชื่อว่าทองคำจะได้แรงหนุนกลับจากความผันผวนในตลาดทุนโลกและการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินในประเทศพัฒนาแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแนะนำว่า นักลงทุนไม่ควรตื่นตกใจและรีบนำทองไปขาย แต่ควรใช้ช่วงราคาทองคำอ่อนตัวเพื่อทยอยสะสม และติดตามรายงานเศรษฐกิจและประกาศจากเฟดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเมื่อราคาทองยังอยู่ในกรอบสูงแต่มีเสถียรภาพทางพื้นฐาน ทั้งในด้านอุปสงค์จากธนาคารกลางและภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ทองคำ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานสะอาด และเทคโนโลยี AI
นอกจากนี้ นักลงทุนควรติดตามการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ที่จะออกในสัปดาห์หน้า รวมถึงการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งอาจเป็นปัจจัยชี้นำทิศทางอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่ มีผลโดยตรงต่อราคาทองคำในระยะสั้น ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และบรรยากาศความเชื่อมั่นของนักลงทุน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความผันผวนของตลาดทองคำเช่นกัน
นอกจากทองคำแล้ว นักลงทุนอาจพิจารณาจับตาโลหะมีค่ากลุ่มอื่น เช่น เงิน แพลทินัม และพัลลาเดียม ซึ่งมักเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน โลหะเหล่านี้ถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่สามารถใช้กระจายความเสี่ยง หรือใช้เก็งกำไรในจังหวะตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในภาพรวม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่า “การร่วงลงของทองคำในวันที่ 21 ตุลาคมเป็นการปรับฐานปกติในวัฏจักรขาขึ้น” และไม่เปลี่ยนมุมมองบวกต่อราคาทองคำในระยะยาว ทองคำยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอน และการอ่อนค่าของสกุลเงินหลัก ซึ่งหมายความว่าในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ทองคำยังคงเป็น “หลักประกันแห่งความมั่นคง” ของนักลงทุนทั่วโลก
ด้าน YLG Bullion and Futures มองว่า ราคาทองคำวานนี้หลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 4,267 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนให้เห็นว่ากระแสเชิงบวกเริ่มอ่อนแรงลง และตลาดกำลังกลับเข้าสู่ช่วงการปรับฐานครั้งใหญ่ อีกระลอก หลังจากที่ราคาปรับขึ้นต่อเนื่องมาหลายเดือน อย่างไรก็ตาม ภาพรวมระยะกลางถึงระยะยาวยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ตราบใดที่ราคายังสามารถยืนเหนือระดับ 3,409 ดอลลาร์ ได้ การอ่อนตัวในรอบนี้ยังถือเป็นเพียงการพักฐานเพื่อสะสมแรงขึ้นต่อในอนาคต
สำหรับแนวโน้มระยะสั้นในวันนี้ ตลาดให้ความสนใจกับแนวต้านบริเวณ 4,130 ดอลลาร์ หากราคายังไม่สามารถผ่านระดับนี้ไปได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าการปรับฐานจะยังไม่สิ้นสุด แต่หากราคาทะลุผ่านขึ้นไปได้ พร้อมกับสร้างจุด Higher Low เหนือระดับ 4,000 ดอลลาร์ จะเป็นสัญญาณเชิงบวกว่าการพักฐานใกล้สิ้นสุดและตลาดอาจกลับเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวอีกครั้ง
ในเชิงกลยุทธ์ นักลงทุนระยะสั้นยังสามารถมองโอกาสเข้าซื้อได้ หากราคายังคงยืนเหนือโซน 4,040-4,000 ดอลลาร์ โดยควรกำหนดจุดตัดขาดทุนหากราคาหลุด 4,000 ดอลลาร์ลงไป ขณะเดียวกัน หากราคาปรับขึ้นแต่ไม่สามารถผ่านแนวต้าน 4,130 ดอลลาร์ได้ อาจพิจารณาทยอยขายทำกำไรบางส่วน แต่หากราคาสามารถฝ่าระดับ 4,380 ดอลลาร์ขึ้นไปได้ การเคลื่อนไหวจะกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นเต็มรูปแบบ และควรรอขายบริเวณแนวต้านถัดไปเพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุด
ด้าน Globlex มองว่าราคาทองคำมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวน ภายใต้แรงกดดันจากความคืบหน้าการเจรจาชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งอาจสิ้นสุดลงภายในสัปดาห์นี้ ส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีแรงขายทำกำไร หลังราคาทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้าน 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ทำให้ภาพรวมยังมีแรงกดดันต่อเนื่อง โดยแนะนำให้ทยอยลดสถานะซื้อเมื่อราคาปรับขึ้นใกล้แนวต้าน 4,130-4,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อ้างอิง: The Economic Times