หุ้นไทยรอลุ้นการเมืองชัด อนุทินเป็นนายกฯ หรือยุบสภาสำเร็จ ?
หุ้นไทยวันนี้เปิดบวกน้อย นักลงทุนยังรอความชัดเจนทางการเมือง นักวิเคราะห์มองหากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ตลาดจะบวกมากกว่ายุบสภา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) เปิดตลาดวันที่ 3 กันยายน 2568 ที่ 1,250.79 จุด บวกเพียง 2.01 จุดจากวันก่อนหน้าที่ปิด 1,248.78 จุด ก่อนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นบวกประมาณ 10 จุด ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่หวือหวา เนื่องจากนักลงทุนยังคงรอความชัดเจนทางการเมืองว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร หลังมีข่าวพรรคประชาชนมีมติสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ฝั่งพรรคเพื่อไทยก็ยื่นทูลเกล้าฯยุบสภาแล้ว
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง (Bualuang Securities) วิเคราะห์ว่า นักลงทุนยังคงรอคอยความชัดเจนทางการเมือง ซึ่งนักลงทุนจะตอบสนองเชิงบวกต่อการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่มากกว่ากรณีการยุบสภา เนื่องจากการยุบสภามีความเสี่ยงที่จะมีการยื่นฟ้องต่อศาลในภายหลังว่านายกรัฐมนตรีรักษาการไม่มีอำนาจยุบสภา ซึ่งอาจจะส่งผลให้การเลือกตั้งหลังยุบสภาเป็นโมฆะ
ดังนั้น จึงประเมินว่าการประกาศยุบสภาจะไม่ทำให้หุ้นพุ่ง แต่จะทำให้อารมณ์ของตลาดเป็นลบ ส่วนกรณีการโหวตเลือกนายกฯมีแนวโน้มที่จะทำให้หุ้นเป็นบวกมากกว่า อย่างไรก็ตาม ยังมองตามที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่า ไม่ว่าจะกรณีใด SET Index จะสามารถยืนเหนือ 1,300 จุดได้
บริษัทหลักทรัพย์ InnovestX มองว่า ช่วงสั้น SET จะเคลื่อนไหว Sideway และบรรยากาศการลงทุนอยู่ในโหมดระมัดระวังหรือรอความชัดเจน เนื่องจากอยู่ระหว่างติดตามเสถียรภาพทางการเมืองไทย ทำให้ความเชื่อมั่นการลงทุนยังไม่กลับมาเต็มที่ คาดตลาดแกว่งตัวผันผวน/พักตัว ยังรอติดตามผลการจัดตั้งรัฐบาลต่อ และมีโอกาสปรับตัวขึ้นหากมีความชัดเจน ทางเทคนิคประเมินแนวรับ 1242/1237 และ 1230 หากพักฐานสั้นเพื่อขึ้นไม่ควรหลุดต่ำกว่า ส่วนการปรับขึ้นมีแนวต้านที่ 1250/1255 หากยืนเหนือได้จะกลับมาเป็นการแกว่งขึ้นต่อเนื่อง
ด้านศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) วิเคราะห์ไว้ว่า การยุบสภาให้เร็วที่สุด หรือการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพทางการเมืองสูง (เสียงไม่ปริ่มน้ำ และไม่ใช่รัฐบาลเสียงข้างน้อย) คือกรณีที่จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยในปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง
สำหรับผลกระทบที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย TISCO ESU ประเมินว่า การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ยังสามารถเป็นไปตามกรอบเวลาเดิม เนื่องจากร่างงบประมาณได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วในวาระที่ 2-3 และอยู่ในขั้นตอนที่วุฒิสภากำลังพิจารณา ซึ่งกระบวนการงบประมาณได้ผ่านความเห็นชอบของสภาในวาระที่ 1 เมื่อเดือนพฤษภาคม ซึ่งยังเป็นช่วงเวลาที่ ครม. มีอำนาจเต็ม ดังนั้น เชื่อว่าคำตัดสินของศาลจะไม่ส่งผลกระทบต่อการอนุมัติร่างฯ พรบ.งบประมาณ แต่หากการสรรหาแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ล่าช้า และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ในท้ายที่สุดอาจนำไปสู่การยุบสภาตามข้อเสนอของพรรคประชาชน หรือคำขู่ของรักษาการนายกฯ คนปัจจุบัน
แม้ TISCO ESU มองว่าการยุบสภาจะไม่มีผลต่อการอนุมัติร่างงบประมาณปี 2569 แต่ก็มองว่าการยุบสภาจะกระทบความต่อเนื่องของการเบิกจ่ายงบลงทุนทั้งของปี 2568 ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 และปี 2569 รวมถึงส่งผลให้กระบวนการร่างงบประมาณฯ ปี 2570 ล่าช้า ดังนั้น ยังคงประเมินว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยราว 0.3 จุดเปอร์เซ็นต์ (percentage point) ในปีนี้ และ 0.5 จุดเปอร์เซ็นต์ในปี 2569 ผ่านการชะงักงันของการใช้งบประมาณลงทุนภาครัฐ และการสูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงความกังวลภาคประชาชนต่อปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง และความไม่แน่นอนทางการเมืองก็มีแนวโน้มจะส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงเช่นกัน
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ Liberator คาดว่า การเมืองไทยที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้นนี้จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และความต่อเนื่องของการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568
