Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
กูรูเรียกร้องโลกขจัดมิจฉาชีพ ไทยตัดไฟ-เน็ต ระงับการส่งเหยื่อข้ามแดน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

กูรูเรียกร้องโลกขจัดมิจฉาชีพ ไทยตัดไฟ-เน็ต ระงับการส่งเหยื่อข้ามแดน

24 ต.ค. 68
16:29 น.
แชร์

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังกลายเป็น “ศูนย์กลางของอุตสาหกรรมหลอกลวงออนไลน์ระดับโลก” ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและซับซ้อนขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในประเทศอย่างเมียนมา กัมพูชา ลาว และ ประเทศไทย ซึ่งกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ พรมแดนที่เชื่อมต่อกันอย่างหลวม ระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เข้าถึงง่าย และการบังคับใช้กฎหมายที่ยังมีช่องว่าง ล้วนเอื้อให้เครือข่ายเหล่านี้ตั้งฐานปฏิบัติการและโยกย้ายแรงงานข้ามพรมแดนได้โดยแทบไม่ถูกตรวจจับ ส่งผลให้ภูมิภาคนี้ถูกจับตามองจากหน่วยงานความมั่นคงทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย สำนักข่าว The New York Times รายงานว่า แม้จะไม่ได้เป็นแหล่งกำเนิดของศูนย์หลอกลวงโดยตรง แต่ก็ถูกใช้เป็น “จุดผ่านทาง” และ “ศูนย์สนับสนุนด้านโครงข่าย” ของกลุ่มอาชญากรจำนวนมาก ทั้งในด้านการลำเลียงแรงงานข้ามชาติ การจัดหาอุปกรณ์เทคโนโลยี และการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตที่มีเสถียรภาพไปยังศูนย์หลอกลวงในประเทศเพื่อนบ้าน พื้นที่ชายแดนจึงกลายเป็นช่องทางสำคัญที่มิจฉาชีพใช้ในการขนย้ายคนและอุปกรณ์โดยผิดกฎหมาย 

ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของภูมิภาค แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายเชิงโครงสร้างที่รัฐบาลไทยและประเทศเพื่อนบ้านต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อสกัดวงจรอาชญากรรมที่กำลังกลืนกินเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค

สหรัฐฯ ชี้คนมะกันสูญกว่าหมื่นล้านดอลล์ให้มิจฉาชีพ

สำนักข่าว The New York Times รายงานว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ชาวอเมริกันสูญเสียเงินไปแล้วกว่า 1.66 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากอุตสาหกรรมหลอกลวงออนไลน์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีฐานปฏิบัติการสำคัญอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ระดับโลกที่มุ่งเป้าหมายเหยื่อจากทั่วโลก 

อุตสาหกรรมมืดนี้ขยายตัวอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยอาศัยแรงงานบังคับและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงเป็นเครื่องมือหลัก นอกจากนี้ ยังมีการประเมินว่าอุตสาหกรรมนี้มีรายได้รวมกันมากกว่า 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมหลอกลวงออนไลน์กลายเป็นธุรกิจผิดกฎหมายที่ทำกำไรสูงสุดประเภทหนึ่งในโลก

ปัจจุบัน หน่วยงานด้านความมั่นคงของหลายประเทศกำลังพยายามเข้าช่วยเหลือผู้คนที่ถูกลักพาตัวหรือถูกหลอกให้มาทำงานในศูนย์หลอกลวงเหล่านี้ซึ่งดำเนินการในลักษณะคล้ายแรงงานทาส แม้ว่าสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเพิ่งออกมาตรการคว่ำบาตรบริษัทในกัมพูชาที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการจัดการศูนย์หลอกลวงขนาดใหญ่ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความพยายามดังกล่าวยังเป็นเพียง “ปลายยอดภูเขาน้ำแข็ง” การดำเนินคดีต่อเครือข่ายอาชญากรรมที่มีโครงสร้างซับซ้อนและโยงใยไปทั่วภูมิภาคจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือข้ามพรมแดนในระดับลึกยิ่งขึ้น

กลไกการทำงานของศูนย์หลอกลวงอาเซียน

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า รูปแบบการหลอกลวงที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในศูนย์เหล่านี้คือ “Pig Butchering” หรือ “ขุนหมูก่อนเชือด” ซึ่งเป็นเทคนิคที่ผสมผสานระหว่างการหลอกลวงทางจิตวิทยาและการสร้างความไว้วางใจ ผู้หลอกลวงจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนพูดคุยกับเหยื่อผ่าน Facebook, WhatsApp, Telegram หรือแอปหาคู่ โดยแอบอ้างว่าเป็นนักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน หรือเพื่อนใหม่ในโลกออนไลน์ พวกเขาจะค่อย ๆ ปลูกฝังความไว้ใจด้วยการสนทนาในชีวิตประจำวัน ส่งข้อมูลการลงทุนปลอมที่สร้างผลตอบแทนสูง หรือแม้แต่ใช้เว็บไซต์จำลองที่ออกแบบให้เหมือนแพลตฟอร์มการลงทุนจริง เพื่อให้เหยื่อเชื่อมั่นและเริ่มโอนเงินเข้าระบบที่ควบคุมโดยมิจฉาชีพ

เมื่อเหยื่อเริ่มลงทุน มิจฉาชีพจะใช้ระบบ “แดชบอร์ด” ปลอมแสดงผลกำไรเสมือนจริง เพื่อกระตุ้นให้โอนเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่เหยื่อจะถูก “เชือด” หรือถูกโกงจนหมดตัว หนึ่งในกรณีตัวอย่างที่โด่งดังคือ ประธานธนาคารขนาดเล็กในรัฐแคนซัส สหรัฐฯ ที่ถูกหลอกให้ลงทุนในแพลตฟอร์มคริปโตปลอมและสูญเสียเงินของธนาคารกว่า 47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ศูนย์หลอกลวงยังใช้กลวิธีหลากหลาย เช่น โรแมนซ์สแกม ที่มุ่งเป้าไปยังผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงอ่อนไหวทางอารมณ์ เช่น ผู้ที่เพิ่งหย่าร้างหรือสูญเสียคู่ครอง ผู้หลอกลวงจะใช้เวลาทำความรู้จักและสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับเหยื่อก่อนชักชวนให้โอนเงิน โดยอ้างเหตุฉุกเฉิน เช่น ปัญหาสุขภาพ หรือความเดือดร้อนทางธุรกิจ ในบางกรณี พวกเขาโทรศัพท์ตรงไปยังเหยื่อ แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อขอข้อมูลบัญชี หมายเลขบัตรประชาชน หรือหมายเลขประกันสังคม

ผู้ดำเนินการสามารถหลอกเหยื่อทั่วโลกได้เพราะใช้แรงงานที่พูดภาษาท้องถิ่นได้อย่างคล่องแคล่ว ตามรายงานขององค์การตำรวจสากล (Interpol) ชาวจีนเป็นกลุ่มที่ถูกค้ามนุษย์ไปทำงานในศูนย์หลอกลวงมากที่สุด รองลงมาคือชาวอินเดีย ฟิลิปปินส์ บราซิล และผู้คนจากแอฟริกาและยุโรปตะวันออก ซึ่งถูกกักขังให้นั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวันเพื่อหลอกเหยื่อผ่านอินเทอร์เน็ต

แรงงานบังคับและโครงสร้างของศูนย์หลอกลวง

ปัจจุบัน ศูนย์หลอกลวงส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ของประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมา ซึ่งรัฐบาลแต่ละประเทศจัดตั้งขึ้นเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ แต่กลับถูกอาชญากรใช้เป็นที่กำบังในการดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมาย พื้นที่เหล่านี้มักตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทย เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าและระบบโทรคมนาคมที่มีเสถียรภาพของไทยได้สะดวก

หลายศูนย์ตั้งอยู่ในอาคารสูงหลายชั้นล้อมรอบด้วยรั้วลวดหนาม มีห้องพักแออัดสำหรับแรงงานหลายร้อยคน ข้างในเต็มไปด้วยแถวของโต๊ะทำงานที่มีคอมพิวเตอร์เรียงรายและกล้องวงจรปิดควบคุมตลอด 24 ชั่วโมง มีรายงานว่าแรงงานเหล่านี้ถูกล่อลวงด้วยสัญญาจ้างงานปลอม เช่น งานไอทีหรือบริการลูกค้าในประเทศไทย แต่เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ กลับถูกนำตัวข้ามพรมแดนไปยังค่ายหลอกลวง ถูกยึดหนังสือเดินทางและโทรศัพท์ ถูกกักขังและบังคับให้ทำงานวันละ 14-16 ชั่วโมง หากขัดขืนหรือพยายามหลบหนี จะถูกทำร้ายร่างกาย ถูกไฟฟ้าช็อต หรือถูกขายต่อให้ศูนย์อื่น

ในเมียนมา พื้นที่ชายแดนเมืองเมียวดีและรัฐฉานกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของเครือข่ายหลอกลวงนี้ เพราะเป็นพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังติดอาวุธและกองทัพเมียนมาซึ่งอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง ผู้เชี่ยวชาญอิสระระบุว่า กองทัพและกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธบางกลุ่มให้การคุ้มครองศูนย์หลอกลวงเพื่อแลกผลประโยชน์ทางการเงิน ขณะที่รัฐบาลทหารปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และอ้างว่ากำลังดำเนินการปราบปรามอย่างต่อเนื่อง

ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดเผยให้เห็นค่ายขนาดใหญ่ในเมืองเมียวดีที่ติดตั้ง อุปกรณ์ดาวเทียม Starlink เพื่อใช้เป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับการดำเนินการของมิจฉาชีพ โดยบริษัท SpaceX ยืนยันภายหลังว่าได้ปิดการใช้งานอุปกรณ์ Starlink มากกว่า 2,500 เครื่อง ที่เชื่อมโยงกับศูนย์หลอกลวงในภูมิภาคนี้

ความพยายามกวาดล้างของนานาชาติ

ปัจจุบัน รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคงในหลายประเทศเริ่มดำเนินมาตรการเข้มข้นเพื่อต่อสู้กับเครือข่ายหลอกลวงข้ามชาติ โดยในปีนี้ จีน อินเดีย และเกาหลีใต้ได้ส่งเที่ยวบินพิเศษเพื่อรับประชาชนของตนที่ได้รับการช่วยเหลือออกจากค่ายในเมียนมากลับประเทศ จีนยังได้ดำเนินคดีครั้งใหญ่โดยศาลตัดสินประหารชีวิตผู้ต้องหา 11 คน ที่ถูกพิพากษาว่าบริหารเครือข่ายการพนันและหลอกลวงออนไลน์ในประเทศ

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยเองก็เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยได้ตัดกระแสไฟฟ้าและสัญญาณโทรคมนาคมที่เชื่อมโยงกับศูนย์หลอกลวงขนาดใหญ่บางแห่งในเมียนมา เพื่อตัดเส้นทางสนับสนุนสำคัญของอุตสาหกรรมมืดนี้ ส่วนรัฐบาลกัมพูชาถูกจับตาอย่างใกล้ชิด หลังสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรประกาศคว่ำบาตรบริษัทเอกชนรายใหญ่ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการบริหารศูนย์หลอกลวงระดับภูมิภาค

ในคดีล่าสุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยื่นคำร้องเพื่อยึดบิตคอยน์มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ถือครองโดยเฉิน จื้อ (Chen Zhi) ประธานกลุ่ม Prince Holding Group ของกัมพูชา ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับเครือข่ายดังกล่าว ขณะที่เกาหลีใต้แสดงความกังวลต่อพลเมืองของตนที่หายตัวไปในศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา และในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งต้องลาออกจากตำแหน่งหลังถูกกล่าวหาว่ารับสินบนที่เชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์และอาชญากรรมไซเบอร์

ทั้งนี้ แม้จะมีการกวาดล้างและการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง แต่วงจรอาชญากรรมนี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้ในช่วงที่รัฐบาลจีนดำเนินการกวาดล้างครั้งใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ การก่อสร้างศูนย์หลอกลวงใหม่ในเมียนมาก็ยังคงดำเนินอยู่โดยไม่หยุดชะงัก

ความร่วมมือระหว่างประเทศคือกุญแจสำคัญ

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การรื้อถอนอุตสาหกรรมหลอกลวงออนไลน์ที่มีโครงสร้างซับซ้อนเช่นนี้จำเป็นต้องอาศัย ความร่วมมือเชิงลึกระหว่างประเทศ ในการติดตามเส้นทางการเงิน การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานข่าวกรอง และการใช้เทคโนโลยีตรวจจับธุรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีที่ถูกฟอกเงิน แต่การติดตามเงินทุนเหล่านี้ทำได้ยาก เพราะมิจฉาชีพมักฟอกกำไรผ่านอสังหาริมทรัพย์หรูในประเทศที่ไม่มีกฎหมายเข้มงวด หรือซ่อนในกระเป๋าเงินบิตคอยน์ที่เข้ารหัสแน่นหนา

เจสัน เทาเวอร์ (Jason Tower) ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสจาก Global Initiative Against Transnational Organized Crime ในกรุงเจนีวา ระบุว่า “แม้จะมีการปราบปรามหลายระลอก แต่ขบวนการเหล่านี้ร่ำรวยเกินไป และตั้งศูนย์ใหม่ได้ง่ายเกินไปที่จะถูกขจัดออกจากระบบ” พร้อมเตือนว่าหน่วยงานระหว่างประเทศกำลังเคลื่อนไหวช้าเกินไป ขณะที่ศูนย์หลอกลวงเหล่านี้ยังคงสร้างรายได้มหาศาลในแต่ละวัน

ตราบใดที่ยังไม่มีการประสานงานระหว่างประเทศที่เข้มแข็งมากขึ้น ทั้งด้านกฎหมาย เทคโนโลยี และการคุ้มครองเหยื่อ อุตสาหกรรมหลอกลวงออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นภัยคุกคามระดับโลกที่ยากจะควบคุมในศตวรรษที่ 21

อ้างอิง: The New York Times


แชร์
กูรูเรียกร้องโลกขจัดมิจฉาชีพ ไทยตัดไฟ-เน็ต ระงับการส่งเหยื่อข้ามแดน