
การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 47 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไทยมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีจะนำคณะผู้แทนไทยเดินทางเข้าร่วม พร้อมด้วยผู้นำจากกลุ่มประเทศอาเซียน และผู้นำจากภาคีพันธมิตร ประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ (สมัยพิเศษ) และสหประชาชาติ เข้าร่วมด้วย
ก่อนการประชุมฯ จะเริ่มขึ้น นายพลพงศ์ วังแพน อธิบดีกรมอาเซียน ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว เกี่ยวกับความสำคัญของการประชุม ที่ผู้นำไทยจะได้แสดงจุดยืนเรื่องความร่วมมือในภูมิภาค
"การประชุมในครั้งนี้มีความสำคัญ เพราะเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ค่อนข้างผันผวนสูง ไม่ว่าจากการแข่งขันของมหาอำนาจ การเดินหน้านโยบายของขั้วอำนาจต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศเสียสมดุลไปพอสมควร" นายพลพงศ์กล่าว ชี้ว่าการประชุมในครั้งนี้เป็นโอกาสที่นายกรัฐมนตรีของไทยจะได้แสดงจุดยืนของประเทศ
"การที่นายกรัฐมนตรีของเราได้พบปะกับผู้นำจากภาคีภายนอกภูมิภาคจะเป็นการแสดงถึงการที่ไทยยึดมั่นในระบบพหุภาคี" อธิบดีกรมฯ กล่าว เน้นย้ำความสำคัญของการรักษาเอกภาพของอาเซียน
การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งนี้เป็นการประชุมระหว่างประเทศครั้งแรกของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งนอกจากการเข้าร่วมประชุม เขายังมีกำหนดการเข้าร่วมกิจกรรมสำคัญอื่น ๆ ด้วย
นายพลพงศ์ วังแพนกล่าวว่า สิ่งที่ไทยให้ความสำคัญในการประชุมครั้งนี้คือ การเกื้อหนุนสันติภาพ เสถียรภาพของภูมิภาค การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการพัฒนาศักยภาพของประเทศสมาชิก ทั้งหมดเพื่อจุดมุ่งหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สิ่งสำคัญที่จะช่วยได้คือการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล
"ไทยเป็นประธานคณะเจรจาขอกกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยเศรษฐกิจดิจิทัลอยู่ เราคาดหวังว่า ภายในปีหน้าจะสามารถเจรจาได้สำเร็จ และความตกลงฉบับนี้จะเป็นความตกลงฉบับแรกของภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และจะทำให้มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนเพิ่มประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. 2030"
อธิบดีกล่าวว่าการเจรจาจะเน้นย้ำเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ที่อาเซียนตั้งเป้าใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานหมุนเวียนให้ได้ร้อยละ 43 ภายในปี ค.ศ. 2030
"เรากำลังมุ่งไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เน้นการปล่อยคาร์บอนน้อยลง ประเทศไทยตั้งเป้าหมายที่มีความก้าวหน้าพอสมควร เราพยายามจะมี NET ZERO ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งเป็นการปรับเป้าหมายใหม่"
การหลอกลวงทางออนไลน์หรือ Online Scam เป็นอาชญากรรมที่หลายส่วนของไทยพยายามต่อสู้มาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้ไทยและหลายประเทศในอาเซียนมาก
"อาชญากรรมไซเบอร์ นอกจากจะสร้างความเสียหายให้ประชาชนในอาเซียนแล้ว ยังบั่นทอนการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่เราพยายามจะผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล [...] อาเซียนมีความพยายามจะสร้างความร่วมมือในเรื่องนี้มา 2-3 ปีแล้ว แต่ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ประเทศนอกภูมิภาคก็ให้ความสนใจกับปัญหาออนไลน์สแกม" นายพลพงศ์กล่าว
เขาตอกย้ำความสำคัญของความร่วมมือของประเทศภายนอก-ภายในภูมิภาค อธิบายต่อว่า อาเซียนจะยกระดับความร่วมมือในเรื่องนี้ผ่านกลไกต่าง ๆ ที่อาเซียนมีอยู่ เช่น ผ่านกรอบการประชุมรัฐมนตรีดิจิทัลเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งไทยได้ออกปฏิญญากรุงเทพฯ ต้านออนไลน์สแกม และอาชญากรรมไซเบอร์ รวมถึงตั้งคณะทำงานต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์โดยเฉพาะ
ความท้าทายในการจัดการปัญหาอาชญากรรมออนไลน์คือ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้ามพรมแดน และข้ามเสาของอาเซียน คือกระทบทั้งเสาการเมือง เสาเศรษฐกิจ และเสาสังคม ดังนั้นต้องมีการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ในทุกเสา รวมถึงมีเรื่องการบริหารจัดการชายแดนร่วมด้วย
อธิบดีกรมอาเซียนกล่าวว่า ไทยเพิ่งมี Road Map ASEAN Border Management ออกมา เพื่อเสริมสร้างความสามารถของเจ้าหน้าที่ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน และเพิ่มความสามารถในการตรวจจับอาชญากรรมข้ามชาติ
"ในการประชุมรอบนี้มีถ้อยแถลงของผู้นำที่จะให้เพิ่มความร่วมมือปราบปรามออนไลน์สแกมโดยเฉพาะด้วย ซึ่งถือเป็นโอกาสดีในการร่วมมือกัน" อธิบดีกล่าว อธิบายเพิ่มถึงโอกาสการร่วมมือกับภาคีนอกภูมิภาคด้วย หนึ่งในผู้เล่นสำคัญคือสหรัฐฯ ซึ่งได้เสนอข้อเสนอมาในกรอบการประชุม East Asia Summit (EAS)
"สหรัฐฯ ได้เสนอให้มีแถลงการณ์ร่วมของผู้นำ EAS ว่าด้วยเรื่องของความร่วมมือออนไลน์สแกมโดยเฉพาะ" พลพงศ์กล่าว "จะเห็นว่าเป็นประเด็นที่กระทบไปทั้งโลกและประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ก็ให้ความใส่ใจในการร่วมแก้ไขปัญหา เพราะมันไม่ได้กระทบแค่ชีวิตคนทั่วไป แต่กัดกร่อนการเงินโลกด้วย"
สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมาเป็นหนึ่งในหัวข้อที่การประชุมสุดยอดผู้นำครั้งนี้ให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นความขัดแย้งภายในที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนานหลายปี ซึ่งครั้งนี้นายพลพงศ์กล่าวว่า อาเซียนต้องตั้งมั่นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้เมียนมาลดความรุนแรงภายในประเทศเมียนมาเอง และบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือของประเทศนอกภูมิภาคด้วย
"สำหรับสถานการณ์ในเมียนมา ประเทศไทยสนับสนุนกลไกของประธานอาเซียน รวมไปถึงผู้แทนพิเศษของประธานอาเซียนด้วยที่จะขับเคลื่อนฉันทามติ 5 ข้อ [...] เรื่องเมียนมาถือว่าเป็นวิกฤตที่อาเซียนต้องให้ความสำคัญต่อไป"
นายพลพงศ์กล่าวว่า ไทยกำลังจับตามองการเลือกตั้งเมียนมาที่จะเกิดขึ้นปลายปีนี้ ในช่วงเดือนธันวาคม 2568 และต้องจับตาต่อไปว่า อาเซียนจะมีท่าทีในเรื่องนี้อย่างไร
"สำหรับไทยเราก็มองว่า กระบวนการเลือกตั้งของเมียนมาคงจะ 'ไม่สมบูรณ์แบบ' แต่อย่างน้อยก็อาจนำมาสู่กระบวนการสันติภาพภายในประเทศของเขาได้ และเมื่อกระบวนการสันติภาพเดินหน้าต่อไป ความรุนแรงก็อาจลดลง และภาคส่วนต่าง ๆ อาจมารวมตัวกันได้" อธิบดีกรมอาเซียนกล่าว