Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
คุยกับ 2 ผู้จัด Morning Affair งาน Coffee Party ที่ดังที่สุดในไทย
โดย : ปาณิสรา สุทธิกาญจนวงศ์

คุยกับ 2 ผู้จัด Morning Affair งาน Coffee Party ที่ดังที่สุดในไทย

24 ต.ค. 68
18:39 น.
แชร์

เชื่อว่าใครที่เล่น TikTok น่าจะต้องเคยเห็น งาน Coffee Party ที่เกิดขึ้นที่ไทย ที่ดูเผินๆเหมือนเราไปเที่ยว Night Club ตอนกลางคืน เพราะมีทั้ง DJ เปิดเพลง EDM แสง สี เสียง สุดอลังการ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ นี่คือความสนุกที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้า ชนแก้วด้วย a cup of coffee ไม่ใช่ glass of wine จบงานแค่ 5 โมงเย็น กลับบ้านแบบไม่แฮงก์แต่ได้ความสนุกเหมือนไปเที่ยวตอนกลางคืน และนี่คือ core concept ของ Coffee Party ปาร์ตี้กาแฟที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่สายรักสุขภาพ

ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา เราได้เห็นงาน Coffee Party ได้เกิดขึ้นมากมายในไทย แต่งานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คืองาน Morning Affair เพราะล่าสุดพวกเขาสามารถจัดงานให้มีผู้ร่วมงานได้มากถึง 3,500 คน ซึ่งนี่เป็นสเกลที่เทียบเท่ากับการจัดคอนเสิร์ต หรือเรียกได้ว่าเป็น mini–Music Festival เลยก็ว่าได้

ความน่าสนใจของงาน Morning Affair นี้ เกิดขึ้นจากการจับมือของ 2 แบรนด์ดังที่ต่างกันสุดขั้ว อย่างร้านกาแฟ RISE COFFEE ที่ Progressive Coffee Space และร้าน Night Club ชื่อดังอย่างแบรนด์ Tictactoe โดยใช้เวลาดีลงานเพียงแค่ 2 นาที และหัวใจหลักในการจัดงาน คือ ‘การสร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้า’ ไม่ได้คาดหวังกำไร

โดยบทความนี้ ทีม SPOTLIGHT ได้มีโอกาสพูดคุยกับ 2 ผู้จัด คุณกษิดิศ เหล่าบุญมี Co-founder RISE COFFEE และคุณธีธัช เยื่องศรีกุล Co-founder Tictactoe

เมื่อ 2 แบรนด์ดังที่ต่างกันสุดขั้วมาจับมือกัน RISE COFFEE x Tictactoe

คุณกษิดิศ ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า โปรเจกต์ Morning Affair ตนใช้เวลาตอบตกลงคุณธีธัช เพียง 2 นาที! เนื่องจากทั้ง 2 แบรนด์อยากจับมือกันเพื่ออยากสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับลูกค้าอยู่แล้ว ซึ่งตอนนั้นไปเจอคอนเซปต์ Morning Party ที่ต่างประเทศ ก็เลยมองว่า Coffee Party นี่แหละดูเข้ากับทั้ง 2 แบรนด์

โดยสิ่งที่ทำให้ตอบตกลงอย่างรวดเร็วเนื่องจาก คิดว่า 2 แบรนด์ ( RISE COFFEE - Tictactoe) มี character ที่คล้ายๆกัน มีความสนุกคล้ายๆกัน และที่สำคัญมีกลุ่มลูกค้าคล้ายๆกัน ซึ่งหากจะจัดโปรเจกต์อะไรก็เป็นเรื่องง่ายที่จะสามารถ blend in ธุรกิจของทั้ง RISE COFFEE และTictactoe เข้าไปด้วยกันได้

  • Tictactoe : Dating Club ดนตรี มีความสนุก
  • Rise Coffee : อยากสร้าง community ให้กาแฟเป็นจุดเชื่อมโยงกัน

และหากมาเจาะที่กลุ่มลูกค้า คุณธีธัชได้เล่าว่า Tictactoe และ RISE COFFEE มีกลุ่มลูกค้าที่ใกล้เคียงกันมาก โดยเป็นกลุ่ม lifestyle ที่ตอนกลางวันกินกาแฟที่ Rise แต่พอตอนกลางคืนก็มาเที่ยว Tictactoe

ความน่าสนใจนี้คือการร่วมทำโปรเจกต์กันเพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น โดยใส่กิมมิก ความสนุก แต่จะต้องไม่ทิ้ง DNA ขอทั้ง 2 แบรนด์ โดยการจัด Morning Affair สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าเก่าให้กลายเป็นลูกค้าใหม่ สร้าง royal customer และการขยายฐานกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ อย่างเช่น

  • กลุ่ม coffee lover / lifestyle seeker : ชอบกินกาแฟ ชอบลองไปร้านกาแฟใหม่ๆอยู่แล้ว
  • กลุ่ม wellness เช่น กลุ่ม run club ชอบออกกำลังกายด้วย และชอบ social ด้วย ไป rise coffee อยู่แล้ว แล้วมา Tictactoe บ้าง
  • กลุ่ม party goers : กลุ่มที่ชอบเที่ยว ชอบไปปาร์ตี้อยู่แล้ว
  • กลุ่ม ex-party goers คือกลุ่มที่สมัยก่อนชอบปาร์ตี้แต่ตอนนี้ไม่ได้ปาร์ตี้แล้ว อาจจะด้วยอายุมากขึ้น ภาระมากขึ้น แต่กลุ่มนี้คือกลุ่ม royal customers ทุกครั้งที่เปิด Morning Affair จะเป็นกลุ่มที่จองคนแรกตลอด

จัด Morning Affair เพื่อ ‘ลูกค้า’ ที่แปลว่า ‘ลูกค้า’ จริงๆ

คุณกษิดิศ และ คุณธีธัช ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า Morning Affair จัดมาแล้ว 5 ครั้ง ซึ่งทุกรอบที่จัดจะมีการพัฒนาให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น พร้อมกับการใส่ความเล่นใหญ่และกิมมิกที่ตอบโจทย์ ตรงใจคนรุ่นใหม่

  • Morning Affair Vol.1 : จัดเป็น friends and family + ลูกค้าประจำของ 2 ร้าน เชิญมาแค่ 200 คน และมีได้มีการโปรโมทลง social media แต่สุดท้ายมีลูกค้ามามากถึง 600 คน
  • Morning Affair Vol.2: เนื่องจากจัด Vol.1 มีลูกค้าสนใจงานมากกว่าที่คิดไว้ เลยพยายามจัดการทั้งระบบหน้าบ้านและหลังบ้านที่ครบ ปรับปรุงทุกอย่างให้ดีขึ้น พร้อมกับการใส่กิมมิก เช่น ครัวซองยักษ์ แก้วกาแฟยักษ์ไซส์กินได้ 10 คน
  • Morning Affair Vol.3 : เมื่อมีระบบหน้าบ้านและหลังบ้านที่คิดว่าครอบคลุมทุกอย่างแล้วเลยจัด Vol.3 ซึ่งตอนแรกทางผู้จัดคิดว่าจะมีผู้ร่วมงานเพียง 800 คน แต่สุดท้ายแล้วมีลูกค้ามากถึง 1,800 คน สิ่งตอนนี้เกิดปัญหาในเรื่องของ capacity ของร้าน เพราะ Morning Affair Vol.1-3 จัดที่ร้าน Tictactoe ในเวลานั้นผู้จัดเลยต้องแก้เกมส์โดยการแจกเครื่องดื่มฟรีหมดให้คนที่ต่อแถวยาวอยู่หน้าร้าน
  • Morning Affair Vol.4 : จาก lesson learn ของการจัดงาน Vol.4 ที่มีผู้สนใจร่วมงานเยอะกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลให้การจัดงาน Vol.4 ผู้จัดได้ตัดสินใจขยายพื้นที่ เป็น 2 ที่ นั้นก็คือ ภายในร้าน Tictactoe และ Wonder Space ลานจัดกิจกรรมภายนอกของ Emsphere ซึ่งตอนนั้นไม่มีปัญหาเรื่อง capacity แล้ว สามารถต้อนรับคนได้มากกว่า 2,500 คน แต่สุดท้ายกลับติดปัญหาตรง Wonder Space เป็นลานกิจกรรม Outdoor และงาน Morning Affair จัดขึ้นตอนกลางวัน ทำให้ลูกค้าร้อน
  • Morning Affair Vol.5 : เมื่อ Wonder Space สามารถแก้ปัญหาเรื่อง capacity ได้ แต่ยังไม่ตอบโจทย์ ตรงใจที่สุด รอบนี้ การจัด Morning Affair Vol.5 ผู้จัดเลยเลือกจัด 2 พื้นที่ด้วยกัน นั้นก็คือ ภายในร้าน Tictactoe และ Sphere Hall ซึ่งมีแอร์ฉ่ำๆ แก้ปัญหาความร้อนในช่วงกลางวัน ซึ่งตอนแรกผู้จัดคาดหวังผู้ร่วมงานเพียง 3,000 คน แต่สุดท้ายกลับมีลูกค้ามามากถึง 3,500 คน

หากเราอ่านมาถึงตรงนี้ เราจะพบว่ากลยุทธ์ที่สำคัญของ ผู้จัด Morning Affair คือการยึดหลัก Customer Centric หรือการปรับการบริการทุกอย่างให้ตอบโจทย์ตรงใจกับลูกค้าให้ได้มากที่สุด

คุณกษิดิศ  ได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า “การเริ่มต้นทำธุรกิจสมัยนี้ มันไม่เหมือนแต่ก่อนที่ เราพัฒนาสินค้าออกมาแล้วค่อยหาวิธีการขาย มองว่าตอนนี้เราต้องฟังลูกค้ามากๆพยายามหา inside จากลูกค้า ว่าลูกเขารู้สึกยังไง ชอบไหม ความต้องการของเขาคืออะไร แล้วค่อยเอาอินไซต์พวกนี้มาพัฒนาสินค้าของเรา เพื่อให้ตอบโจทย์เค้า แล้วพอตอบโจทย์เค้า เค้า happy เค้าก็จะบอกต่อเป็น Word of Mouth”

และในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วย content และกระแสของ social media ก็ได้เกิดกระแสการรีวิว Morning Coffee ของ Morning Affair ไวรัลทั่วโลกออนไลน์ ทั้งรีวิวความสนุกของงาน กิมมิกของงาน ที่ทำให้ใครหลายๆคนอยาจจะมาลองเปิดใจเที่ยวดูสักครั้ง

และเมื่อทีม SPOTLIGHT ได้ถาม 2 ผู้จัดขอ how to การทำธุรกิจไม่ใช่แค่ให้อยู่รอด แต่ต้องรุ่งในยุคปัจจุบัน กลับได้คำตอบที่น่าสนใจในแบบผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่

คุณธีธัช ได้เล่าว่า “ตอนนี้เทรนด์มันมีเยอะมาก เกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา ถ้าหากเราจับทุกเทรนด์ เราตายแน่อนไม่ทันแน่นอน core ต้องชัดเจน identity ต้องชัดเจน พอเทรนด์ใหม่มาเราก็เลือกจับให้มันตรงกับ core เรา หรือถ้าเราปั้นแบรนด์ให้แข็งแรง เรานี่แหละจะสามารถสร้างเทรนด์ได้”

ส่วนคุณกษิดิศ ได้เล่าว่า “ 3 สิ่งที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอดคือ จุดยืนต้องชัด, ปั้นแบรนด์ให้แข็ง, operation ให้ดี การทำธุรกิจในยุคนี้มันยาก สิ่งสำคัญคือเราต้องมีจุดยืนอย่างชัดเจน ต้องฟังลูกค้าแต่สิ่งสำคัญคือเราห้ามลืมคือตัวตนของเรา ในที่นี่หมายถึง ถ้าเราปรับตามเสียงลูกค้าตลอดเวลาจนจุดยืนเราหาย สุดท้ายแล้วเราจะไม่มีอะไรที่ชัดเจนหรือน่าจดจำ”

แชร์
คุยกับ 2 ผู้จัด Morning Affair งาน Coffee Party ที่ดังที่สุดในไทย