
เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเปราะบาง หลังแรงส่งจากการฟื้นตัวหลังโควิดเริ่มหมดลงและปัจจัยภายนอกกดดันหนักขึ้น ทั้งการเก็บภาษีสินค้าจากไทยของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวเพียง 1.8% และปีหน้าที่ 1.5% โดยมีความเสี่ยงที่การเติบโตในช่วงครึ่งหลังปีนี้ถึงครึ่งแรกปี 2569 จะไม่ถึง 1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายปี
แม้มาตรการกระตุ้นระยะสั้นของรัฐบาลใหม่ภายใต้แนวคิด “Quick Big Win” จะช่วยพยุงอุปสงค์ในประเทศบางส่วน แต่ผลต่อการขยายตัวของ GDP ยังจำกัด ขณะที่หนี้ครัวเรือนสูง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำ และเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องกำลังบั่นทอนแรงซื้อของประชาชน ภาพรวมทั้งหมดนี้สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันทั้งจากภายนอกและภายใน พร้อมความเสี่ยงเงินฝืดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจบังคับให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง เพื่อประคองเสถียรภาพเศรษฐกิจในปีหน้า
SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 และปี 2569 จะเติบโตเพียง 1.8% และ 1.5% ตามลำดับ โดยมีความเสี่ยงขยายตัวไม่ถึง 1% ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ต่อเนื่องถึงครึ่งแรกปีหน้า สาเหตุสำคัญมาจากการส่งออกที่เริ่มชะลอตัว หลังสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีสินค้าจากไทยในอัตรา 19% สะท้อนความจำเป็นที่รัฐบาลต้องมีนโยบายประคองเศรษฐกิจ แม้ตัวเลขส่งออกเดือนสิงหาคมยังขยายตัวได้ 5.8% แต่ถือว่าชะลอลงมากจากเดือนก่อน การขยายตัวที่เหลืออยู่เกิดจากปัจจัยเฉพาะ ได้แก่
ในระยะข้างหน้า SCB EIC คาดว่ามูลค่าการส่งออกที่เหลือของปีนี้และต่อเนื่องถึงปี 2569 มีแนวโน้มจะหดตัวสูง ซึ่งจะเป็นแรงฉุดให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับต่ำ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จนถึงครึ่งแรกของปีหน้า
ด้านการบริโภคภาคเอกชนยังน่ากังวล โดยหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาส 2/2568 อยู่ในระดับสูงที่ 86.8% แม้สัดส่วนหนี้เริ่มลดลง แต่เกิดจากการหดตัวของสินเชื่อครัวเรือนมากกว่าการชำระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนทั้งความสามารถในการกู้ยืมที่ลดลงและความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อจากความกังวลเรื่องหนี้ด้อยคุณภาพ ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ แม้จะปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากความชัดเจนทางการเมืองและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบต่อเนื่องอีกหลายเดือน และยังไม่กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายทั้งปีนี้และปีหน้า ปัจจัยหลักมาจากราคาพลังงานโลกที่ปรับลดลง และนโยบายลดค่าครองชีพของรัฐบาล โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลที่คาดว่าจะเฉลี่ยต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตรในปีหน้า ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ซึ่งจะช่วยให้กองทุนน้ำมันกลับมามีสถานะบวกในไตรมาส 1/2569 SCB EIC คาดว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2568 จะติดลบ -0.1% ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี และในปี 2569 จะกลับมาเป็นบวกเพียง 0.2% ยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ 1-3% อย่างมาก ท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแรง
SCB EIC ประเมินว่า แม้ไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดโดยสมบูรณ์ แต่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนจาก
สำหรับชุดนโยบาย “Quick Big Win” ที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล กำหนดเป้าหมาย “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” นั้น SCB EIC ประเมินว่า ผลของนโยบายคนละครึ่งฯ ต่อการขยายตัวของ GDP ยังคงจำกัด เนื่องจากงบประมาณที่ใช้มาจากการจัดสรรโครงการอื่น ไม่ได้เป็นเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่บางส่วนของเม็ดเงินอาจรั่วไหลออกจากระบบ เช่น การใช้จ่ายซื้อสินค้านำเข้า หรือการใช้จ่ายกับร้านค้าที่อยู่นอกระบบภาษี
ทั้งนี้ แม้รัฐบาลประกาศจะยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังการแถลงนโยบาย แต่นโยบายหลายด้านยังมุ่งกระตุ้นการบริโภคของครัวเรือนในระยะสั้น เช่น มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” วงเงิน 6.7 หมื่นล้านบาท ที่เร่งให้มีการใช้จ่ายภายใน 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2569 โดยใช้งบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจราว 1.5 แสนล้านบาท นอกจากนี้ รัฐบาลยังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการเสริมอื่น ๆ เช่น มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มเติม
สำหรับแนวทางนโยบายการเงิน SCB EIC ยังคงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.25% ในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ และปรับลดอีกครั้งในช่วงต้นปี 2569 ลงมาอยู่ที่ 1.0% แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะชะลอลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จนถึงครึ่งแรกของปี 2569 เนื่องจากความเปราะบางของภาคธุรกิจและครัวเรือนจะกดดันอุปสงค์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ภาวะการเงินไทยยังตึงตัวสูง ไม่สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ต่ำกว่าระดับศักยภาพอยู่มาก
SCB EIC จึงประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ และอีก 1 ครั้งในช่วงต้นปีหน้าไปที่ระดับ 1% นโยบายการเงินจะมีบทบาทช่วยลดความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
SCB EIC ประเมินว่า กิจกรรมเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณชะลอตัวลงบ้างในช่วงปลายไตรมาส 3 แต่ยังขยายตัวในระดับที่ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจก่อนเจอกำแพงภาษีสหรัฐฯ นโยบายการเงินการคลังผ่อนคลายในหลายเศรษฐกิจหลัก รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมและสินค้าส่งออกที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่เติบโตดี
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วง Q4/2568 และปี 2569 เนื่องจากจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ มากขึ้น สะท้อนจากยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อส่งออกที่ปรับลดลง รวมถึงการจ้างงานที่เริ่มชะลอลงมาก มุมมองนี้สอดคล้องกับหลายองค์กรระหว่างประเทศ เช่น OECD และ IMF ที่ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ดีขึ้นเล็กน้อยกว่าประมาณการเดิม แต่ยังเป็นภาพชะลอตัวลงเทียบกับปี 2567 และยังมองว่าปี 2569 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวต่ำกว่าปี 2568 อีกด้วย
นอกจากภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญ ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองโลกที่สูงขึ้น สหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีจีนอีก 100% เริ่ม 1 พ.ย. หลังจีนควบคุมการส่งออกแร่หายากเพิ่มเติมและเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมเรือสัญชาติสหรัฐฯ นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังเผชิญปัญหา Government Shutdown ผลจากความขัดแย้งทางการเมือง แม้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยในอดีตและไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินมากนัก แต่ครั้งนี้มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ไม่จ่ายเงินเดือนย้อนหลังหรือปลดพนักงานออก และเสี่ยงยืดเยื้อ ด้านญี่ปุ่นเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง หลังพรรค Komeito ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ส่งผลให้พรรค LDP อาจหลุดจากการเป็นรัฐบาลในรอบ 13 ปี
สำหรับแนวทางดำเนินนโยบายการเงิน ธนาคารกลางหลักทั่วโลกมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงิน (ยกเว้นญี่ปุ่น) เพื่อบรรเทาแรงกดดันเศรษฐกิจ
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 50 bps (รวมเป็น 75 bps) ในปีนี้ และอีก 50 bps ในปี 2569 จากตลาดแรงงานที่แย่ลง แม้อัตราเงินเฟ้อจะยังไม่กลับเข้ากรอบเป้าหมายและเสี่ยงเร่งตัวเพิ่มเติมจากผลกำแพงภาษี ทั้งนี้ SCB EIC ยังคงประเมินว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมวันที่ 28-29 ต.ค. แม้การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจอาจล่าช้าจากการปิดทำการของหลายหน่วยงานภาครัฐ เนื่องจากยังมีข้อมูลจากภาคเอกชนบางส่วนที่ใช้ทดแทนได้
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 25 bps ไปที่ 1.75% สิ้นสุดวัฏจักรการลดดอกเบี้ยรอบนี้ หลังกำแพงภาษีสหรัฐฯ ชัดเจนขึ้น
ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยอีก 10 bps (รวม 20 bps) ในปี 2568 และอีก 20 bps ในปี 2569 จากเครื่องชี้เศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวเป็นวงกว้าง
ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี และจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยในปี 2569 หลังผลกระทบภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ปัจจัยการเมือง และการเจรจาค่าจ้างของสหภาพแรงงาน เริ่มชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569