Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
SCB มองศก.ไทยเหนื่อยยาว ปี68โต1.8% ปี69เหลือ1.5% คนละครึ่งพลัสไม่ช่วย
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

SCB มองศก.ไทยเหนื่อยยาว ปี68โต1.8% ปี69เหลือ1.5% คนละครึ่งพลัสไม่ช่วย

24 ต.ค. 68
14:42 น.
แชร์

เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเปราะบาง หลังแรงส่งจากการฟื้นตัวหลังโควิดเริ่มหมดลงและปัจจัยภายนอกกดดันหนักขึ้น ทั้งการเก็บภาษีสินค้าจากไทยของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวเพียง 1.8% และปีหน้าที่ 1.5% โดยมีความเสี่ยงที่การเติบโตในช่วงครึ่งหลังปีนี้ถึงครึ่งแรกปี 2569 จะไม่ถึง 1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายปี

แม้มาตรการกระตุ้นระยะสั้นของรัฐบาลใหม่ภายใต้แนวคิด “Quick Big Win” จะช่วยพยุงอุปสงค์ในประเทศบางส่วน แต่ผลต่อการขยายตัวของ GDP ยังจำกัด ขณะที่หนี้ครัวเรือนสูง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำ และเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องกำลังบั่นทอนแรงซื้อของประชาชน ภาพรวมทั้งหมดนี้สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันทั้งจากภายนอกและภายใน พร้อมความเสี่ยงเงินฝืดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจบังคับให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง เพื่อประคองเสถียรภาพเศรษฐกิจในปีหน้า

เศรษฐกิจไทยโตต่ำต่อเนื่อง ปี 68/69 โตไม่ถึง 2% 

SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 และปี 2569 จะเติบโตเพียง 1.8% และ 1.5% ตามลำดับ โดยมีความเสี่ยงขยายตัวไม่ถึง 1% ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ต่อเนื่องถึงครึ่งแรกปีหน้า สาเหตุสำคัญมาจากการส่งออกที่เริ่มชะลอตัว หลังสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีสินค้าจากไทยในอัตรา 19% สะท้อนความจำเป็นที่รัฐบาลต้องมีนโยบายประคองเศรษฐกิจ แม้ตัวเลขส่งออกเดือนสิงหาคมยังขยายตัวได้ 5.8% แต่ถือว่าชะลอลงมากจากเดือนก่อน การขยายตัวที่เหลืออยู่เกิดจากปัจจัยเฉพาะ ได้แก่

  • การเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังไม่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีเพิ่ม และได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น รวมถึงกระแสการลงทุนในเทคโนโลยี AI ทั่วโลก
  • การส่งออกทองคำไม่ขึ้นรูปที่เพิ่มขึ้นตามราคาทองคำในตลาดโลก หากตัดปัจจัยเฉพาะนี้ออก ตัวเลขส่งออกเดือนสิงหาคมจะหดตัวราว -2% ซึ่งสะท้อนว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างชัดเจน

ในระยะข้างหน้า SCB EIC คาดว่ามูลค่าการส่งออกที่เหลือของปีนี้และต่อเนื่องถึงปี 2569 มีแนวโน้มจะหดตัวสูง ซึ่งจะเป็นแรงฉุดให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับต่ำ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จนถึงครึ่งแรกของปีหน้า

ด้านการบริโภคภาคเอกชนยังน่ากังวล โดยหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาส 2/2568 อยู่ในระดับสูงที่ 86.8% แม้สัดส่วนหนี้เริ่มลดลง แต่เกิดจากการหดตัวของสินเชื่อครัวเรือนมากกว่าการชำระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนทั้งความสามารถในการกู้ยืมที่ลดลงและความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อจากความกังวลเรื่องหนี้ด้อยคุณภาพ ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ แม้จะปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากความชัดเจนทางการเมืองและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบต่อเนื่องอีกหลายเดือน และยังไม่กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายทั้งปีนี้และปีหน้า ปัจจัยหลักมาจากราคาพลังงานโลกที่ปรับลดลง และนโยบายลดค่าครองชีพของรัฐบาล โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลที่คาดว่าจะเฉลี่ยต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตรในปีหน้า ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ซึ่งจะช่วยให้กองทุนน้ำมันกลับมามีสถานะบวกในไตรมาส 1/2569 SCB EIC คาดว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2568 จะติดลบ -0.1% ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี และในปี 2569 จะกลับมาเป็นบวกเพียง 0.2% ยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ 1-3% อย่างมาก ท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแรง

SCB EIC ประเมินว่า แม้ไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดโดยสมบูรณ์ แต่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนจาก

  1. เงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่อง 6 เดือน และคาดว่าจะยาวถึงไตรมาส 1/2569
  2. สัดส่วนสินค้าที่ราคาลดลงเพิ่มขึ้นเป็น 43% ของตะกร้าเงินเฟ้อ ณ เดือนกันยายน จาก 40% ในเดือนก่อน แม้ส่วนใหญ่จะเป็นหมวดพลังงานและอาหารสดที่ผันผวนตามภาครัฐและอุปทาน แต่เริ่มขยายไปยังสินค้าพื้นฐานมากขึ้น
  3. รายได้ครัวเรือนฟื้นตัวช้าและลดลงในครึ่งแรกของปีนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โควิด-19 ประกอบกับภาระหนี้สูงและสินเชื่อครัวเรือนที่หดตัวต่อเนื่อง ทำให้อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ ภาคธุรกิจจึงเผชิญการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากสินค้าจีน และมีอำนาจการตั้งราคาต่ำในภาวะอุปสงค์อ่อนแรง ส่งผลให้อัตรากำไร การลงทุน และการจ้างงานถูกกดดัน เป็นวัฏจักรเชิงลบต่อเศรษฐกิจ

สำหรับชุดนโยบาย “Quick Big Win” ที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล กำหนดเป้าหมาย “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” นั้น SCB EIC ประเมินว่า ผลของนโยบายคนละครึ่งฯ ต่อการขยายตัวของ GDP ยังคงจำกัด เนื่องจากงบประมาณที่ใช้มาจากการจัดสรรโครงการอื่น ไม่ได้เป็นเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่บางส่วนของเม็ดเงินอาจรั่วไหลออกจากระบบ เช่น การใช้จ่ายซื้อสินค้านำเข้า หรือการใช้จ่ายกับร้านค้าที่อยู่นอกระบบภาษี

ทั้งนี้ แม้รัฐบาลประกาศจะยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังการแถลงนโยบาย แต่นโยบายหลายด้านยังมุ่งกระตุ้นการบริโภคของครัวเรือนในระยะสั้น เช่น มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” วงเงิน 6.7 หมื่นล้านบาท ที่เร่งให้มีการใช้จ่ายภายใน 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2569 โดยใช้งบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจราว 1.5 แสนล้านบาท นอกจากนี้ รัฐบาลยังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการเสริมอื่น ๆ เช่น มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มเติม

คาด กนง. ลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในเดือน ธ.ค. และต้นปีหน้า

สำหรับแนวทางนโยบายการเงิน SCB EIC ยังคงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.25% ในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ และปรับลดอีกครั้งในช่วงต้นปี 2569 ลงมาอยู่ที่ 1.0% แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะชะลอลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จนถึงครึ่งแรกของปี 2569 เนื่องจากความเปราะบางของภาคธุรกิจและครัวเรือนจะกดดันอุปสงค์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ภาวะการเงินไทยยังตึงตัวสูง ไม่สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ต่ำกว่าระดับศักยภาพอยู่มาก 

SCB EIC จึงประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ และอีก 1 ครั้งในช่วงต้นปีหน้าไปที่ระดับ 1% นโยบายการเงินจะมีบทบาทช่วยลดความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า 

ภาษีสหรัฐฯ เริ่มกดดันเศรษฐกิจโลก ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองโลกสูงขึ้น

SCB EIC ประเมินว่า กิจกรรมเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณชะลอตัวลงบ้างในช่วงปลายไตรมาส 3 แต่ยังขยายตัวในระดับที่ดี ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจก่อนเจอกำแพงภาษีสหรัฐฯ นโยบายการเงินการคลังผ่อนคลายในหลายเศรษฐกิจหลัก รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมและสินค้าส่งออกที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่เติบโตดี 

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วง Q4/2568 และปี 2569 เนื่องจากจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ มากขึ้น สะท้อนจากยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อส่งออกที่ปรับลดลง รวมถึงการจ้างงานที่เริ่มชะลอลงมาก มุมมองนี้สอดคล้องกับหลายองค์กรระหว่างประเทศ เช่น OECD และ IMF ที่ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ดีขึ้นเล็กน้อยกว่าประมาณการเดิม แต่ยังเป็นภาพชะลอตัวลงเทียบกับปี 2567 และยังมองว่าปี 2569 เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวต่ำกว่าปี 2568 อีกด้วย

นอกจากภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ เศรษฐกิจโลกยังต้องเผชิญ ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองโลกที่สูงขึ้น สหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีจีนอีก 100% เริ่ม 1 พ.ย. หลังจีนควบคุมการส่งออกแร่หายากเพิ่มเติมและเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมเรือสัญชาติสหรัฐฯ นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังเผชิญปัญหา Government Shutdown ผลจากความขัดแย้งทางการเมือง แม้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยในอดีตและไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินมากนัก แต่ครั้งนี้มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ไม่จ่ายเงินเดือนย้อนหลังหรือปลดพนักงานออก และเสี่ยงยืดเยื้อ ด้านญี่ปุ่นเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง หลังพรรค Komeito ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ส่งผลให้พรรค LDP อาจหลุดจากการเป็นรัฐบาลในรอบ 13 ปี

สำหรับแนวทางดำเนินนโยบายการเงิน ธนาคารกลางหลักทั่วโลกมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงิน (ยกเว้นญี่ปุ่น) เพื่อบรรเทาแรงกดดันเศรษฐกิจ 

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 50 bps (รวมเป็น 75 bps) ในปีนี้ และอีก 50 bps ในปี 2569 จากตลาดแรงงานที่แย่ลง แม้อัตราเงินเฟ้อจะยังไม่กลับเข้ากรอบเป้าหมายและเสี่ยงเร่งตัวเพิ่มเติมจากผลกำแพงภาษี ทั้งนี้ SCB EIC ยังคงประเมินว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมวันที่ 28-29 ต.ค. แม้การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจอาจล่าช้าจากการปิดทำการของหลายหน่วยงานภาครัฐ เนื่องจากยังมีข้อมูลจากภาคเอกชนบางส่วนที่ใช้ทดแทนได้ 

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 25 bps ไปที่ 1.75% สิ้นสุดวัฏจักรการลดดอกเบี้ยรอบนี้ หลังกำแพงภาษีสหรัฐฯ ชัดเจนขึ้น 

ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยอีก 10 bps (รวม 20 bps) ในปี 2568 และอีก 20 bps ในปี 2569 จากเครื่องชี้เศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวเป็นวงกว้าง 

ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี และจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยในปี 2569 หลังผลกระทบภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ปัจจัยการเมือง และการเจรจาค่าจ้างของสหภาพแรงงาน เริ่มชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2569


แชร์
SCB มองศก.ไทยเหนื่อยยาว ปี68โต1.8% ปี69เหลือ1.5% คนละครึ่งพลัสไม่ช่วย