Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ไทยจะลบภาพแหล่งทุนเทาอย่างไร?เปิดแนวคิด'ดร.พิพัฒน์'ยกเครื่องการเงินไทย
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ไทยจะลบภาพแหล่งทุนเทาอย่างไร?เปิดแนวคิด'ดร.พิพัฒน์'ยกเครื่องการเงินไทย

24 ต.ค. 68
14:11 น.
แชร์

ในช่วงเวลาที่สังคมไทยเผชิญกระแส “ต่อต้านสแกมเมอร์” และ “ปราบปรามการฟอกเงิน” อย่างเข้มข้น เสียงเรียกร้องให้ภาครัฐและสถาบันการเงินเร่งปฏิรูประบบความโปร่งใสเริ่มดังขึ้นจากทุกทิศ หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงกลไกการตรวจสอบที่ยังมีช่องโหว่ และความเสี่ยงที่ประเทศไทยอาจกลายเป็น “จุดศูนย์กลางการฟอกเงิน” ในภูมิภาค หากไม่เร่งยกระดับมาตรการป้องกันอย่างจริงจัง ประเด็นนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางการเงิน แต่ยังสะท้อนถึง “ความน่าเชื่อถือของประเทศ” ในสายตานักลงทุนและประชาคมโลก

ท่ามกลางกระแสดังกล่าว ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ออกมาแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “นี่คือเวลาทองของไทย” ที่จะพลิกวิกฤตความไม่เชื่อมั่นให้เป็นโอกาสในการยกระดับระบบการเงินให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และปลอดภัยยิ่งขึ้น เขามองว่าประเทศไทยไม่ควรเพียง “จับผู้กระทำผิด” แต่ควรใช้ช่วงเวลานี้ในการสร้างรากฐานระบบการเงินใหม่ที่เข้มแข็งตามมาตรฐานสากล เพื่อ “ลบภาพเทา” และสร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้แก่ทั้งประชาชนและนักลงทุนทั่วโลก

นอกจากนี้ ดร.พิพัฒน์ ยังได้แนะแนวทางการแก้ไขในการภาคการเงินทุกภาคส่วน โดยอธิบายว่า ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องคิดวิธีการใหม่ เพราะแนวทางปฏิบัติที่ดี (Global Best Practice) มีอยู่แล้ว ทั้งจาก Financial Action Task Force (FATF), Financial Crimes Enforcement Network (FinCEN) ของสหรัฐฯ และ Monetary Authority of Singapore (MAS) สิ่งสำคัญคือ “การทำให้ครบ” และ “ทำให้จริง” โดยเร่งปิดช่องโหว่สำคัญในระบบการเงิน

‘คริปโต’ จุดเปราะบางที่ต้องเร่งปิดช่อง

ดร.พิพัฒน์ชี้ว่า ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีหรือสินทรัพย์เสมือน (Virtual Assets) เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการฟอกเงิน เพราะแม้ “ความลับ” จะถูกมองว่าเป็นจุดเด่นสำคัญของเทคโนโลยีนี้ แต่ในอีกด้านก็กลายเป็น “ช่องโหว่” ที่เปิดทางให้เงินผิดกฎหมายและเงินเทาจำนวนมหาศาลไหลเวียนได้โดยยากต่อการตรวจสอบ เขากล่าวว่า หลายกรณีของการหลอกลวงคนไทยในช่วงที่ผ่านมา เงินที่ถูกหลอกมักไหลผ่าน “บัญชีม้า” ก่อนจะเข้าสู่ “ม้าคริปโต” แล้วหายเข้ากลีบเมฆไปจากระบบการเงินแบบดั้งเดิม ซึ่งทำให้การติดตามและตรวจสอบย้อนกลับเกือบเป็นไปไม่ได้

ดร.พิพัฒน์เน้นว่า การกำกับดูแลผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตในไทยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะ “ความโปร่งใส” จะไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงทางอาชญากรรมทางการเงินเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างรากฐานให้นวัตกรรมเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดร.พิพัฒน์จึงเสนอให้ไทยเร่งบังคับใช้ “Travel Rule” อย่างเต็มรูปแบบในตลาดคริปโต เช่นเดียวกับระบบ SWIFT ของธนาคาร ที่ไม่อนุญาตให้ทำธุรกรรมหากไม่ได้ระบุชื่อผู้โอน (Originator) และผู้รับเงิน (Beneficiary) ทุกครั้ง ระบบคริปโตควรทำเช่นเดียวกัน โดยให้ทุกธุรกรรมระหว่าง Exchange ต้องแนบข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.พิพัฒน์ระบุว่า แม้ประเทศไทยมีกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้นำ Travel Rule มาบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในระดับธุรกรรมระหว่าง Exchange ภายในประเทศและระหว่างประเทศ ทั้งที่ FATF ได้ประกาศใช้มาตรฐานนี้ตั้งแต่ปี 2563

ดังนั้น แม้การแก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อาจต้องใช้เวลาและมีความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็สามารถออกประกาศกำกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล (VASPs) ให้ดำเนินการตาม Travel Rule ได้โดยอยู่ในกรอบอำนาจที่มีอยู่แล้ว พร้อมทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับสำนักงานปปง. เพื่อให้ข้อมูลธุรกรรมถูกเชื่อมเข้าระบบป้องกันการฟอกเงิน (AML) ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

นอกจากนั้น ดร.พิพัฒน์ยังเสนอให้ ก.ล.ต. แบ่งปันข้อมูลจากผู้ให้บริการคริปโตที่ได้รับใบอนุญาตกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้เห็นภาพรวมของการเคลื่อนไหวเงินทุนเข้าออกประเทศอย่างครบถ้วน เพราะในปัจจุบัน ธปท. สามารถติดตามธุรกรรมในระบบธนาคารได้ครบถ้วนในดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) แต่ธุรกรรมในโลกคริปโตยังเป็น “ช่องว่าง” ที่อยู่นอกการกำกับของ ธปท. และอยู่ภายใต้ระบบของ ก.ล.ต. ผลที่ตามมาคือ เงินที่ไหลเข้าออกประเทศผ่านคริปโต เช่น การโอน USDT ของคนไทยออกนอกประเทศ หรือการที่ชาวต่างชาติซื้อเหรียญในไทย ไม่ถูกบันทึกไว้ในระบบดุลการชำระเงิน ทำให้ภาพรวมเงินทุนเคลื่อนย้ายของประเทศ “ไม่ครบจริง”

ดร.พิพัฒน์สรุปว่า ก.ล.ต. ควรเร่งดำเนินการแชร์ข้อมูลเชิงระบบจาก Exchange ที่ได้รับใบอนุญาตให้ ธปท. โดยตรง เพื่อให้ประเทศไทยมีภาพรวมของกระแสเงินในระบบคริปโตที่ครบวงจรและสอดคล้องกับความเป็นจริง เหมือนที่สิงคโปร์และฮ่องกงได้เริ่มทำสำเร็จแล้ว ซึ่งจะช่วยยกระดับความโปร่งใสของตลาดการเงินไทย และสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาว

‘ทองคำ’ สินทรัพย์ที่ต้องโปร่งใสเทียบเท่าธนาคาร

ดร. พิพัฒน์ ระบุว่า ทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ทั่วโลกจับตา เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือการลงทุน ยังเป็นช่องทางฟอกเงินที่ใหญ่ที่สุดรูปแบบหนึ่ง โดยอ้างรายงานของคณะทำงานปฏิบัติการทางการเงิน (FATF) เรื่อง Money Laundering Risks Associated with Gold ซึ่งเตือนชัดว่าประเทศที่เป็นศูนย์กลางการค้าทองคำต้องบังคับใช้มาตรฐานการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) เข้มข้นเทียบเท่าสถาบันการเงิน

ตัวอย่างเช่น สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ และฮ่องกง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำระดับโลก ต่างมีกลไกตรวจสอบที่ชัดเจน ผู้ค้าทองต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของเงิน (Source of Funds) และผู้ถือผลประโยชน์สูงสุด (Ultimate Beneficial Owner: UBO) ของลูกค้าทุกธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง รวมถึงต้องรายงานธุรกรรมที่ใช้เงินสดจำนวนมากหรือมีโครงสร้างซับซ้อนให้หน่วยงานข่าวกรองทางการเงิน (FIU) ตรวจสอบ อีกทั้งยังมีระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างผู้ค้าทอง ศุลกากร ธนาคาร และหน่วยงาน AML แบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะในสิงคโปร์ ธุรกิจทองคำอยู่ภายใต้ “Precious Metals Dealer Regime” ของธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ซึ่งกำหนดให้ผู้ค้าทองต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมและผู้ถือผลประโยชน์ทุกดีล

สำหรับประเทศไทย แม้ว่าผู้ค้าทองคำจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มธุรกิจและวิชาชีพที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (DNFBP) แล้ว แต่ในทางปฏิบัติยังไม่มีระบบตรวจสอบ Source of Funds หรือ UBO ของผู้ส่งออกทองอย่างจริงจัง ข้อมูลระหว่างกรมศุลกากร สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย ยังไม่ถูกเชื่อมโยงกัน ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่า “ทองคำมาจากเงินของใคร” หรือ “ขายให้ใครจริง” ธนาคารอาจเห็นเฉพาะธุรกรรมทางการเงิน แต่ไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางของทองคำปลายทางได้

ดร. พิพัฒน์ เสนอให้ผู้ค้าทองและผู้ส่งออกต้องแนบข้อมูล UBO และ Source of Funds ผ่านระบบ e-Customs และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งฐานข้อมูลกลาง Gold Trade Transparency System เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง ปปง. ศุลกากร และธนาคารแห่งประเทศไทยแบบเรียลไทม์ พร้อมกำหนดให้ธุรกรรมทองคำที่มีมูลค่าสูงกว่า 2 ล้านบาท ต้องแนบข้อมูลผู้ถือผลประโยชน์และรายงานต่อหน่วยงานกำกับภายใน 48 ชั่วโมง ตามมาตรฐานที่ใช้ในหลายประเทศ ทั้งนี้ ควรนำข้อมูลดังกล่าวเข้าสู่ระบบดุลการชำระเงิน (BOP) ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อสะท้อนการเคลื่อนไหวของเงินทุนจริงในระบบเศรษฐกิจได้อย่างโปร่งใสและครบถ้วน

‘วัด มูลนิธิ และองค์กรไม่แสวงหากำไร’ พื้นที่สีเทาที่ต้องปรับโครงสร้าง

ดร.พิพัฒน์กล่าวว่า ช่วงหลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นของคดีทุจริตและการฟอกเงินผ่านวัด มูลนิธิ และองค์กรไม่แสวงหากำไร เนื่องจากช่องทางเหล่านี้มักได้รับ “อภิสิทธิ์ทางศรัทธา” และไม่ถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดเหมือนภาคธุรกิจทั่วไป ทั้งที่หลายแห่งมีเงินบริจาคจำนวนมากจากทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งในบางกรณีอาจถูกนำมาใช้หมุนเวียนเพื่อการฟอกเงินโดยอาศัยภาพลักษณ์ของความดีและการกุศลเป็นเกราะกำบัง

ดร.พิพัฒน์อธิบายว่า มาตรฐานสากลของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (FATF Recommendation) กำหนดให้ทุกประเทศต้องประเมินความเสี่ยงขององค์กรไม่แสวงหากำไร (NPOs) แยกตามระดับความเสี่ยง และใช้มาตรการเฉพาะกับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การบังคับเปิดเผยข้อมูลผู้บริจาครายใหญ่ (Donor Due Diligence) การรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยต่อหน่วยงานข่าวกรองทางการเงิน (FIU) และการเปิดเผยงบการเงินและทรัพย์สินหลักต่อสาธารณะ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถติดตามแหล่งที่มาของเงินได้อย่างเป็นระบบ

สำหรับประเทศไทย ดร.พิพัฒน์เสนอให้จำกัดสิทธิ์การหักภาษีเฉพาะเงินบริจาคที่ทำผ่านระบบ e-donation เพื่อป้องกันการอ้างบริจาคเท็จ และให้วัดหรือมูลนิธิที่มีรายรับเกินเกณฑ์ต้องรายงานเงินบริจาค ทรัพย์สิน และรายจ่ายประจำปีผ่านระบบ e-Filing พร้อมจัดตั้งระบบ Donor Due Diligence (DDD) สำหรับตรวจสอบผู้บริจาครายใหญ่ โดยตรวจสอบชื่อ บัญชี และแหล่งที่มาของเงินอย่างละเอียด

ดร.พิพัฒน์ยังเสนอให้มีระบบรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยเฉพาะสำหรับองค์กรศาสนาและมูลนิธิ (Suspicious Transaction Reporting: STR) เพื่อให้ ปปง. และธนาคารสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวทางการเงินขององค์กรที่เข้าข่ายความเสี่ยงสูงตามหลัก Risk-based Approach นอกจากนี้ควรกำหนดให้มีการตรวจสอบบัญชีโดยผู้สอบบัญชีอิสระทุกปี และเปิดเผยผลตรวจสอบต่อสาธารณะ โดยเฉพาะในกรณีของมูลนิธิที่ผู้บริจาคสามารถนำเงินไปหักภาษีได้ เพื่อสร้างระบบความไว้วางใจที่ตรวจสอบได้จริง

ดร.พิพัฒน์เน้นว่า มาตรการเหล่านี้จะไม่เพียงยกระดับความโปร่งใสของภาคศาสนาและองค์กรการกุศล แต่ยังจะ “ยกสถานะวัดและมูลนิธิให้พ้นข้อครหาเรื่องเงินเทา” และทำให้สังคมกลับมาศรัทธาในความบริสุทธิ์ใจของการบริจาคอีกครั้ง

ในส่วนของภาคธนาคาร ดร.พิพัฒน์เสนอให้เร่งจัดตั้งฐานข้อมูลผู้ถือผลประโยชน์ที่แท้จริง (Ultimate Beneficial Owner: UBO Registry) เพื่อเปิดเผยข้อมูลที่ตรวจสอบได้ และจัดตั้งเวทีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในรูปแบบ Public-Private AML Forum เพื่อให้ธนาคารและหน่วยงานกำกับสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลสัญญาณเตือน (Red Flags) และรูปแบบธุรกรรมที่น่าสงสัย (Typologies) ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการปิดช่องโหว่ของระบบการเงินไทยจากการถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเงินในอนาคต

เวลาทองของไทยในการ “ลบภาพเทา”

ดร.พิพัฒน์สรุปว่า ขณะนี้คือ “เวลาทองของไทย” ที่จะยกระดับความโปร่งใสของระบบการเงินอย่างจริงจัง เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคทางกฎหมายหรือการกำกับดูแล แต่คือ “เรื่องของความน่าเชื่อถือระดับประเทศ”

ดร.พิพัฒน์ เชื่อว่าหากประเทศไทยเร่งดำเนินการตามแนวทางหลัก 5 ด้าน ได้แก่ 1) การบังคับใช้ Travel Rule สำหรับคริปโต 2) การเชื่อมข้อมูลระหว่าง ก.ล.ต. และ ธปท. 3) การตรวจสอบธุรกรรมทอง โดยตรวจสอบ Source of Funds / UBO ของธุรกรรมทองคำ ตามมาตรฐาน FATF และ FinCEN 4) การกำกับวัดและมูลนิธิให้โปร่งใส และ 5) การสร้างฐานข้อมูล UBO เชื่อมโยงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไทยจะสามารถเปลี่ยนภาพจาก “ตลาดสีเทา” สู่ระบบการเงินที่ “สะอาด โปร่งใส และน่าเชื่อถือ” ได้จริงในสายตานานาชาติ

“ถ้าเราทำให้เต็มที่ — ไทยจะไม่ใช่ “ตลาดสีเทา” อีกต่อไป แต่จะเป็นประเทศที่ระบบการเงิน สะอาด โปร่งใส และ น่าเชื่อถือ” ดร.พิพัฒน์ระบุทิ้งท้าย

แชร์
ไทยจะลบภาพแหล่งทุนเทาอย่างไร?เปิดแนวคิด'ดร.พิพัฒน์'ยกเครื่องการเงินไทย