หุ้นการบินไทยร่วงต่อเนื่อง โดยในช่วงการซื้อขายเช้าวันนี้ (10 ต.ค.) ราคาลดลงกว่า 5% มาอยู่ที่ 10.90 บาทต่อหุ้น เมื่อเวลาประมาณ 12.20 น. ก่อนปิดการซื้อขายภาคเช้าที่ระดับ 11.00 บาท ลดลง 4.35% จากวันก่อนหน้า ซึ่งเพิ่งปิดร่วงไปแล้วกว่า 11% จากกระแสข่าวเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัท และความกังวลเรื่องการแทรกแซงทางการเมือง หลังมีรายงานว่ากำลังมีการเตรียมเพิ่มสัดส่วนกรรมการผู้แทนภาครัฐจากกระทรวงการคลัง
รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ใช้สิทธิ์เสนอรายชื่อกรรมการใหม่จำนวน 10 คน เพื่อทดแทนบอร์ดเดิมที่ครบวาระ 3 คน และอีก 1 คนที่ต้องออกโดยการจับสลากตามเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งกำหนดให้มีการหมุนเวียนบอร์ด 1 ใน 3 ของจำนวนทั้งหมด ปัจจุบันการบินไทยมีกรรมการรวม 11 คน อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังยังเสนอให้ขยายจำนวนกรรมการเพิ่มอีก 4 คน รวมเป็น 15 คน ซึ่งจะทำให้มีตัวแทนจากภาครัฐรวมถึง 8 คน
รายชื่อกรรมการใหม่ที่กระทรวงการคลังเสนอมีทั้งบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งกรรมการการบินไทยก่อนเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ รวมถึงบางรายที่เคยเป็นกรรมการธนาคารออมสินในช่วงที่มีการหักกลบหนี้กองทุนบำเหน็จของการบินไทยกว่า 2,000 ล้านบาทเพื่อชำระหนี้ของธนาคาร อีกหนึ่งรายเคยเป็นผู้บริหารระดับสูงของสายการบินไทยสมายล์ในปี 2561 ซึ่งขาดทุนถึง 2,602 ล้านบาทและขาดทุนต่อเนื่องในช่วงโควิด
การขยายจำนวนบอร์ดกลับไปเป็น 15 คน ถือเป็นจำนวนสูงสุดที่การบินไทยเคยมีในช่วงเข้าฟื้นฟูกิจการ ซึ่งในอดีตพบว่าการบริหารภายใต้บอร์ดขนาดใหญ่ทำให้การตัดสินใจล่าช้าและขาดความคล่องตัว อีกทั้งหากเทียบกับสายการบินต่างประเทศ ส่วนใหญ่มีบอร์ดไม่เกิน 10 คน
รายงานข่าวชี้เพิ่มเติมว่า หากกระทรวงการคลังสามารถเสนอรายชื่อบอร์ดใหม่ได้ตามจำนวน 8 คน จะทำให้บอร์ดชุดใหม่ของการบินไทยมีทั้งหมด 15 คน โดยเป็นบอร์ดหน้าใหม่ถึง 14 คน เหลือเพียงนายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ที่ยังอยู่ในตำแหน่ง ซึ่งบอร์ดชุดใหม่ยังมีอำนาจพิจารณายกเลิกสัญญาจ้าง CEO เพื่อแต่งตั้งใหม่ได้ด้วย
ในด้านความโปร่งใส การบินไทยได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้ถือหุ้นรายอื่นที่ถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่า 5% ของทุนจดทะเบียน เพื่อเปิดโอกาสให้เสนอรายชื่อผู้เหมาะสมเข้าชิงตำแหน่งบอร์ดแทนชุดเดิม โดยสามารถยื่นเสนอชื่อได้จนถึงวันที่ 19 ตุลาคมนี้ ขณะเดียวกัน คณะกรรมการสรรหาได้จัดประชุมไปแล้วเมื่อวานเพื่อพิจารณาแนวทางการเพิ่มจำนวนบอร์ด แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ และจะประชุมอีกครั้งในวันที่ 21 ตุลาคม ก่อนเสนอผลต่อที่ประชุมบอร์ดใหญ่วันที่ 23 ตุลาคม
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า กระทรวงการคลังยังต้องการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี (AGM) อีกครั้งในเดือนธันวาคม เพื่อพิจารณาแต่งตั้งบอร์ดชุดใหม่ ซึ่งจะถือเป็นการประชุม AGM ครั้งที่ 2 ของปี หลังจากที่บริษัทได้จัดไปแล้วเมื่อเดือนเมษายนเพื่ออนุมัติงบการเงินประจำปี
อย่างไรก็ตาม การจัด AGM ซ้ำในปีเดียวกันทำไม่ได้ตามกฎหมาย เนื่องจากติด “ข้อจำกัดทางกฎหมายสองชั้น” หรือ Double Legal Lock ภายใต้ พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด มาตรา 98 ที่กำหนดให้ประชุมได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น และต้องจัดภายใน 4 เดือนหลังสิ้นปีบัญชี ดังนั้น การประชุมปลายปีนี้หากจัดได้จริงจะต้องเป็นการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) เท่านั้น
สำหรับบอร์ดชุดปัจจุบันของการบินไทยประกอบด้วยกรรมการ 11 คน ได้แก่ กรรมการที่จะพ้นวาระ 3 คนคือ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ พล.อ.อ. อำนาจ จีระมณีมัย และนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ส่วนกรรมการปัจจุบันอีก 8 คนคือ นายลวรณ แสงสนิท (ประธานบอร์ด) ดร.กุลยา ตันติเตมิท นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า เมื่อวานนี้ ราคาหุ้นการบินไทย (THAI) ปรับลดลงแรง -11% จากความกังวลเรื่องการแทรกแซงทางการเมือง หลังมีกระแสข่าวเตรียมเพิ่มสัดส่วนกรรมการผู้แทนภาครัฐ โดย KSS มองว่าเป็นปัจจัย “ลบ” เนื่องจากการเพิ่มกรรมการจากภาครัฐอาจทำให้การบินไทยขาดความเป็นอิสระในการดำเนินงาน ขณะเดียวกันแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/2568 (3Q25F) มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน และยังมีความเสี่ยงจากการสิ้นสุดช่วง Silent Period ของหุ้นเพิ่มทุนในต้นปีหน้า ทำให้ KSS ยังคงคำแนะนำ “Reduce”
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ราคาหุ้น THAI ปิดที่ 11.50 บาท ลดลง -1.40 บาท หรือ -11% โดยระหว่างวันเคยแตะระดับต่ำสุดที่ 10.80 บาท (-17%) หลังมีกระแสข่าวว่าบริษัทเตรียมเพิ่มจำนวนกรรมการผู้แทนภาครัฐ สำนักข่าวภายในประเทศรายงานว่า การบินไทยได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และส่งหนังสือถึงผู้ถือหุ้น เปิดให้ผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นมากกว่า 5% เสนอชื่อกรรมการใหม่ภายในวันที่ 19 ตุลาคม ขณะที่กระทรวงการคลังซึ่งถือหุ้นใหญ่ (38.9%) ได้เสนอชื่อกรรมการใหม่มากถึง 10 คน ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมขยายจำนวนกรรมการจาก 11 คนเป็น 15 คน
KSS เห็นว่าการเพิ่มสัดส่วนกรรมการจากภาครัฐ (จากเดิม 6 คนในบอร์ด 11 คน) เป็นปัจจัย “เชิงลบ” เพราะอาจทำให้การบินไทยขาดความเป็นอิสระและลดศักยภาพการแข่งขัน คล้ายสถานการณ์ก่อนเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ขณะที่แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/2568 คาดชะลอตัวจากฤดูกาลท่องเที่ยวที่อยู่ในช่วงโลว์ซีซัน โดยข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวชี้ว่านักท่องเที่ยวยุโรปและออสเตรเลีย ซึ่งคิดเป็น 35% และ 10% ของผู้โดยสารของ THAI ตามลำดับ ทรงตัวจากไตรมาสก่อน แม้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน (+8% จากปีก่อน และ -1% จากปีก่อน) แต่ชะลอตัวจากไตรมาสก่อน (+14% จากปีก่อน และ +9% จากปีก่อน)
นอกจากนี้ บริษัทยังเผชิญแรงกดดันต้นทุนเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงอากาศยานที่กลับสู่ระดับปกติหลังจากไตรมาสก่อนอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติราว 1 พันล้านบาท และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น +7% จากไตรมาสก่อนหน้า
KSS ประเมินราคาเป้าหมายที่ 7.65 บาท โดยอิง EV/EBITDA ที่ 4.5 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยสายการบินในภูมิภาค และมองว่าราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนความคาดหวังการเติบโตเกินจริง โดยซื้อขายที่ P/E ปี 2026F กว่า 15 เท่า สูงกว่า BA ที่มี P/E ราว 10 เท่า ทั้งที่ผลการดำเนินงานของ THAI ยังเผชิญแรงกดดันด้านต้นทุนและการแข่งขันที่เข้มข้น
KSS ยังคงคาดว่ากำไรปกติปี 2025F และ 2026F อยู่ที่ 26,000 ล้านบาท และ 22,000 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้น +25% จากปีก่อนหน้า และลดลง -16% จากปีก่อนหน้า ตามลำดับ พร้อมเตือนว่าราคาหุ้นการบินไทยยังมีความเสี่ยงจากแรงขายเมื่อสิ้นสุดช่วง Silent Period ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2569 สำหรับหุ้นเพิ่มทุนจากการแปลงหนี้เป็นทุนและหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) รวมกว่า 6.6 พันล้านหุ้น ที่มีต้นทุนเฉลี่ย 2.5452-4.48 บาทต่อหุ้น และอีกประมาณ 20 พันล้านหุ้นที่จะครบกำหนดช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2569