ในช่วงที่ตลาดหุ้นเผชิญความผันผวนอย่างหนัก ไม่ว่าจะมาจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน หรือกระแสข่าวรายวันที่ทำให้ดัชนีเหวี่ยงแรง นักลงทุนจำนวนไม่น้อยอาจรู้สึกวิตก หวาดกลัว และไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรกับพอร์ตการลงทุนของตัวเอง
แต่แทนที่จะตื่นตระหนก บทความนี้อยากชวนทุกคน “ตั้งสติและประเมินสถานการณ์” ผ่านมุมมองของนักวิเคราะห์มืออาชีพ คุณกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.กรุงศรี มาแชร์เทคนิคการบริหารพอร์ตให้รอดเมื่อตลาดผันผวน ผ่านรายการ SPOTLIGHT SET UP&GO
1. เวลาตลาดผันผวนแรงมาก ควร "ถือ-ขาย-ซื้อเพิ่ม" แบบไหนถึงจะดีที่สุด?
กลยุทธ์ในการรับมือกับตลาดที่ผันผวนรุนแรง ไม่ควรตัดสินใจโดยใช้อารมณ์หรือความกลัวเป็นหลัก แต่ต้องประเมินจากสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจและพื้นฐานของหุ้นที่เราถืออยู่เป็นสำคัญ
- หากเศรษฐกิจโดยรวมยังแข็งแกร่ง ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนไป ธุรกิจที่เราถืออยู่ยังคงมีกำไรเติบโต มีงบดุลที่มั่นคง และกระแสเงินสดสม่ำเสมอ การที่ราคาหุ้นปรับตัวลงในช่วงที่ตลาดผันผวน อาจถือเป็นโอกาสในการ “ซื้อเพิ่ม” เพื่อเฉลี่ยต้นทุน และเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นที่ดีในราคาที่ถูกลง
- แต่หากเริ่มเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มถดถอย เช่น ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจชะลอตัว กำไรบริษัทจดทะเบียนเริ่มปรับลดลง หรือนโยบายการเงินตึงตัวมากขึ้น ควรระวัง โดยอาจต้อง "ทยอยลดน้ำหนัก" การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงและรักษาสภาพคล่องเอาไว้สำหรับโอกาสในอนาคต
- ส่วนกรณีที่เกิดความไม่แน่นอนสูง เช่น ตลาดเหวี่ยงแรงโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน หรือปัจจัยลบยังประเมินไม่ได้แน่นอน คำแนะนำคือให้ “กระชับพอร์ต” โดยลดน้ำหนักการลงทุนบางส่วน และอาจพิจารณาใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedging) เช่น การเปิดสถานะ Short TFEX (ฟิวเจอร์ส) ประมาณ 10% ของพอร์ตเพื่อชดเชยความเสียหายระยะสั้น หากตลาดยังปรับตัวลงต่อ
สรุปคือ ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือการ “ประเมินสถานการณ์แล้วเลือกกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับภาพเศรษฐกิจและเป้าหมายการลงทุนของเรา” ไม่ใช่ถอยหนีด้วยอารมณ์ แต่ต้องบริหารด้วยเหตุผลและเครื่องมือที่มีให้เหมาะสมกับสถานการณ์
2. มีวิธีแบ่งสัดส่วนพอร์ต (Asset Allocation) อย่างไร ในภาวะตลาดไม่แน่นอน?
กลยุทธ์ที่ดีในการกระจายการลงทุนคือการแบ่งพอร์ตเป็น 3 ชั้น (Three Layer Allocation) เพื่อรองรับทั้งเป้าหมายระยะยาวและความผันผวนระยะสั้น:
- Base Layer (60%): เป็นชั้นพื้นฐานของพอร์ตที่เน้นความมั่นคงและความปลอดภัย ใช้ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีโมเดลธุรกิจชัดเจน เติบโตสม่ำเสมอ และกระแสเงินสดมั่นคง เช่น กลุ่มโรงพยาบาล โครงสร้างพื้นฐาน โรงไฟฟ้า และตราสารหนี้ที่มีเครดิตดี ทั้งหมดนี้ช่วยให้พอร์ตเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะกลางถึงยาว
- Opportunity Layer (20-30%): ชั้นนี้เน้นสร้างโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนจากธีมหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง เช่น พลังงานสะอาด (Clean Energy), หุ้นเทคโนโลยีที่ถูกกดราคาลงมา หรือกลุ่ม High Growth ที่อาจฟื้นตัวแรงหากเศรษฐกิจพลิกฟื้น
- Optional Layer (10%): ใช้เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น จัดสรรไว้เป็นเงินสด ทองคำ หรือใช้เครื่องมือ Hedging เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ หรือสงคราม ซึ่งอาจทำให้สินทรัพย์เสี่ยงผันผวนอย่างรุนแรง
การมีพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงตามชั้นเหล่านี้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถอยู่ในตลาดได้อย่างมั่นใจ และพร้อมปรับตัวได้ทุกสถานการณ์
3. หุ้นแบบไหนควร “เก็บไว้” ในพอร์ตเวลาตลาดตก?
เวลาราคาหุ้นร่วงลงมาก ๆ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า “หุ้นถูก” คือ “หุ้นดี” แต่คุณกรภัทรแนะนำว่า ต้องประเมินจากปัจจัยพื้นฐาน มากกว่าราคาเพียงอย่างเดียว
ความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจ: หุ้นที่ควรเก็บไว้ในช่วงตลาดตก ควรเป็นหุ้นที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจ สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และยังมีแนวโน้มเติบโตในระยะกลางถึงยาว
- ความมั่นคงของกระแสเงินสด: ถ้าบริษัทมีรายได้ต่อเนื่อง กระแสเงินสดไม่สะดุด ก็จะช่วยพยุงผลประกอบการในช่วงเศรษฐกิจอ่อนแรง ลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตของเรา
- จุดซื้อและ Margin of Safety: นักลงทุนควรพิจารณาว่าราคาหุ้นในช่วงนั้นมีส่วนลดมากพอหรือไม่เมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ "ถูกลง" แต่ต้อง "ถูกอย่างมีเหตุผล" และยังมีศักยภาพกลับมาเติบโตได้จริง
หากประเมินแล้วว่าหุ้นที่ถืออยู่ไม่ได้มีพื้นฐานแข็งแรง อาจต้องพิจารณาสลับไปยังหุ้นที่ปรับตัวลงมาเช่นกัน แต่มีโครงสร้างธุรกิจที่ดีกว่า เพื่อเตรียมตัวรับการฟื้นตัวในรอบถัดไป
4. เทคนิคที่นักวิเคราะห์ใช้ "เช็กสัญญาณ" ว่าควรพักหรือลุยต่อ คืออะไร?
นักกลยุทธ์มืออาชีพใช้สัญญาณหลายอย่างเพื่อประเมินความเสี่ยงของตลาด:
- Inverted Yield Curve: เป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังกลัวเศรษฐกิจถดถอย หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว แปลว่าตลาดไม่มั่นใจในแนวโน้มเศรษฐกิจระยะใกล้
- Credit Spread: หากช่องว่างระหว่างตราสารหนี้เกรดดีและเกรดต่ำ (High Yield) กว้างขึ้น แสดงถึงความกังวลต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน นักลงทุนเริ่มเรียกร้องผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากตราสารหนี้เสี่ยง
- ดัชนีความผันผวน (VIX): ถ้า VIX พุ่งขึ้นเกินระดับ 30-40 อย่างรวดเร็วโดยไม่มีเหตุผลพื้นฐาน อาจเป็นผลจากการ Panic Sell หรือการ Take Profit ในช่วงที่ตลาดไม่มีความชัดเจน - สถานการณ์แบบนี้อาจกลายเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะยาว
- Moving Average: การเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นเมื่อเทียบกับเส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน 25 วัน หรือ 200 วัน ช่วยสะท้อนความเสี่ยงในแต่ละระยะ หากดัชนีต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวมาก ๆ ต้องประเมินว่าตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงขาลงระยะยาวหรือไม่
- จิตวิทยาการลงทุน: นักลงทุนทั่วไปมักตกใจและขายเมื่อมีข่าวร้าย แต่ Smart Investor จะเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงไว้ก่อน และรอจังหวะซื้อในวันที่คนส่วนใหญ่ตื่นกลัว ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาสินทรัพย์ลดลงแรงและมักเป็นจุดกลับตัวของตลาด
5. สำหรับมือใหม่ มีวิธีอะไรที่ช่วยให้ "ไม่แพนิค" เวลาตลาดแดงจัด?
นักลงทุนมือใหม่หลายคนมักเผชิญกับความรู้สึกหวาดกลัว เมื่อตลาดเกิดความผันผวนรุนแรง พอร์ตติดลบอย่างหนัก แต่คุณกรภัทรย้ำว่า "เวลา" และ "วินัย" คือสองปัจจัยสำคัญที่สุดในการลงทุน
- เปลี่ยนมุมมองต่อความผันผวน: อย่ามองว่าเป็นวิกฤตอย่างเดียว แต่ให้มองว่าเป็นโอกาสในการซื้อสินทรัพย์ดีในราคาถูกขึ้น
- ตั้งคำถามกับตัวเอง: เราซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์นั้นเพราะอะไร? เราเข้าใจธุรกิจของมันหรือไม่? เรามีเป้าหมายระยะกลางหรือยาวแค่ไหน?
- มองย้อนอดีตเพื่อเสริมความมั่นใจ: วิกฤตหลายครั้งที่ผ่านมา เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง, วิกฤตซับไพรม์, โควิด-19 - ท้ายที่สุดแล้วตลาดก็ค่อย ๆ ฟื้นตัว ธุรกิจที่แข็งแรงก็สามารถกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง
- อย่าลงทุนแบบตามน้ำ: อย่าตื่นตระหนกไปกับข่าวร้ายหรือราคาที่ร่วงแรง ต้องใช้เหตุผลวิเคราะห์ว่า สิ่งที่เราถืออยู่มีศักยภาพฟื้นตัวหรือไม่
ท้ายที่สุด การมีวินัยและความเข้าใจในสิ่งที่เราลงทุน จะช่วยให้เราผ่านช่วงเวลาที่พอร์ตแดงจัดไปได้อย่างมั่นคง และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในระยะยาว