
โครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล หรือ Thailand Individual Saving Account (TISA) ซึ่งคนตลาดทุนหวังว่าช่วยให้ตลาดทุนไทยมีชีวิตชีวาขึ้นได้ ต้องหยุดชะงักไป เมื่อมีการยุบสภา ต้องรอลุ้นกันว่ารัฐบาลหน้าจะผลักดันต่อหรือไม่
ในเรื่องนี้ หลายคนอาจจะลุ้นจนถึงขั้นกังวลว่า TISA อาจจะแท้งไปเหมือนกับหลาย ๆ โครงการในอดีตที่เงียบหายไปพร้อมกับการเปลี่ยนรัฐบาล แต่ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มั่นใจว่าโครงการ TISA จะถูกผลักดันต่อในรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยบอกกับผู้สื่อข่าวในวันที่ 16 ธันวาคม 2568 ว่า มั่นใจว่า TISA จะได้ไปต่อ ไม่ว่าพรรคใดจะมาเป็นรัฐบาลพรรคก็ตาม เพราะโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีต่อคนไทย และได้รับความเห็นชอบในหลักการแล้ว เหลือเพียงการเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งตามกำหนดเดิมจะเข้า ครม.ในวันที่ 9 ธันวาคม แต่ต้องชะลอ เนื่องจากมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มผู้มีรายได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาท
ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์มองว่า โครงการนี้จะเป็นนโยบายที่ทำให้พรรคการเมืองได้คะแนนนิยม จึงไม่น่าจะมีพรรคใดปฏิเสธการผลักดัน พร้อมบอกอีกว่า ตลาดทุนเคยนำเสนอโครงการนี้ตั้งแต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยแล้ว จึงมั่นใจว่าจะได้รับการผลักดันจากรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน หรือพรรคเพื่อไทย
สำหรับมุมมองในแง่ผลกระทบเชิงบวกของ TISA ต่อตลาดทุน ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์มองว่า ในระยะสั้น ไม่คาดว่าจะเห็นผลกระทบเชิงบวกต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการลงทุนผ่านโครงการ TISA ในช่วงแรกจะเป็นการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนในหุ้นรายตัว ซึ่งเม็ดเงินมีขนาดไม่ใหญ่ แต่ในระยะยาวมองว่าจะส่งผลดีต่อตลาดทุนไทยและคนไทย
“ไม่ใช่ว่ามี TISA แล้วหุ้นจะปรับขึ้นทันที เพราะสภาพคล่องในตลาดยังมีจำกัด แต่ระยะยาวจะส่งผลดีต่อคนไทย เห็นได้จากที่ญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่พิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลดี”
ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดเผยเกี่ยวกับ TISA อีกว่า ตามความตั้งใจเดิมของฝั่งตลาดทุนที่เสนอโครงการนี้ต่อรัฐบาล อยากให้รัฐบาลเพิ่มกรอบวงเงินลงทุนลดหย่อนภาษีเป็น 1 ล้านบาท แต่รัฐบาลให้วงเงิน 800,000 บาทเท่าเดิมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการออมและการลงทุนระยะยาวก่อนหน้านี้ แต่มีส่วนเพิ่มเติม คือ การยกเว้นภาษีดอกเบี้ย เงินปันผล และกำไรจากการขายหุ้น วงเงิน 200,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นแรงจูงใจที่ดีมาก
นอกจากหวังและเชื่อว่า TISA จะได้ไปต่อแล้ว ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์บอกว่า ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ อยากเห็นพรรคการเมืองเสนอนโยบายเกี่ยวกับตลาดทุน และอยากเห็นการประชันนโยบายอย่างจริงจัง โดยตลาดหลักทรัพย์จะทาบทามพรรคการเมืองมาประชันนโยบายด้านตลาดทุนต่อไป
หนึ่งในเรื่องสำคัญที่ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์อยากให้รัฐบาลในอนาคตทำ คือ การลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐาน และเปิดให้เชื่อมโยงข้อมูล Digital ID ของประชาชนกับข้อมูลทางการเงินและการลงทุน ซึ่งจะบอกว่าแต่ละคนมีสินทรัพย์อะไร อยู่ที่ไหนบ้าง
ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์บอกว่า นโยบายลักษณะนี้ควรเป็นนโยบายที่พรรคการเมืองควรผลักดัน และสามารถนำไปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งได้ เพราะมีผลดีต่อทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน และดีต่อการดำเนินงานและการจัดทำนโยบายของภาครัฐด้วย
ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์อธิบายเพิ่มเติมถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับว่า การมีฐานข้อมูลที่เชื่อมโยง-รวมศูนย์กัน จะทำให้ประชาชนมองเห็นภาพรวมข้อมูลสินทรัพย์ของตนเองได้สะดวกขึ้น รู้ว่ามีสินทรัพย์ใดอยู่ที่ไหนบ้าง ทำให้การวางแผนชีวิตและการเงินเป็นระบบมากขึ้น จะช่วยยกระดับความรู้และความเข้าใจของนักลงทุน ทำให้ตัดสินใจด้านการเงินและการลงทุนได้ดีขึ้น อีกทั้งยังรวมไปถึงความสะดวกต่อการจัดการทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตด้วย และขณะเดียวกัน ฝั่งภาครัฐก็จะได้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับประชาชน ช่วยให้ออกมาตรการ “ถูกฝาถูกตัว” มากขึ้น