ราคาหุ้น Apple (Nasdaq: AAPL) พุ่งทำระดับสูงสุดตลอดกาล (all-time high) เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม 2025 ทำให้ Apple เกือบจะได้เป็นบริษัทที่สามของโลกที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (market cap) ถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสองบริษัทที่ทำได้ก่อนหน้านี้ คือ Nvidia และ Microsoft
ราคาหุ้น Apple พุ่งขึ้น 4.5% ไปทำระดับสูงสุดที่ 263.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ จุดหนึ่งของการซื้อขายช่วงเช้า ก่อนจะปิดบวก 3.94% ที่ 262.24 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ market cap ของ Apple เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 3.89 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แซง Microsoft (ที่ช่วงนี้ราคาทรงๆ) กลับขึ้นไปเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (market cap) สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียง Nvidia ยักษ์ใหญ่ด้านชิป AI ที่หุ้นพุ่งทะยานในช่วงสองปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของราคาหุ้น Apple เป็นผลเนื่องมาจากมีการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของยอดขาย iPhone 17 series ในสหรัฐฯและจีน ประกอบกับนักวิเคราะห์จากหลายบริษัทหลักทรัพย์และธนาคารได้อัปเกรดคำแนะนำของหุ้น Apple
บริษัทวิจัย Counterpoint Research เผยข้อมูลว่า ยอดขายช่วง 10 วันแรกของการวางจำหน่าย iPhone 17 series ในสหรัฐฯและจีน สูงกว่ายอดขาย iPhone 16 series ถึง 14%
เหมิงเหมิง จาง (Mengmeng Zhang) นักวิเคราะห์อาวุโสของ Counterpoint Research กล่าวว่า iPhone 17 รุ่นพื้นฐานนั้นดึงดูดผู้บริโภคมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติที่คุ้มราคา ซึ่งขายในราคาเดียวกับ iPhone 16 ที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องคิดมาก แล้วยิ่งรวมส่วนลดและคูปองจากช่องทางต่างๆ เข้าไปยิ่งคุ้มค่าคุ้มราคาอย่างมาก
นอกจากนั้น Counterpoint Research บอกว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 17 Pro มีความต้องการซื้อสูง เนื่องจากได้รับเงินอุดหนุนจากผู้ให้บริการเครือข่ายสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคหันไปเลือกสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมมากขึ้น ในขณะเดียวกัน iPhone Air ที่เพิ่งเปิดตัวในราคา 999 ดอลลาร์สหรัฐฯกลับขายดีกว่า iPhone 16 Plus เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ Evercore ISI ได้เพิ่มหุ้น Apple เข้าไปในรายชื่อหุ้นที่คาดว่าจะทำผลงานได้ดีกว่าตลาดในปีนี้ เนื่องจาก Evercore ISI คาดการณ์ว่า Apple จะทำกำไรในไตรมาส 3 ของปี 2025 ได้ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ พร้อมทั้งคาดการณ์แนวโน้มที่ดีขึ้นสำหรับไตรมาสที่ 4
นักวิเคราะห์จาก Evercore ISI ระบุว่า การเปิดตัวคำสั่งซื้อออนไลน์ในประเทศจีนเมื่อเร็วๆ นี้ อาจเป็นปัจจัยบวกสำหรับไตรมาสสุดท้าย เนื่องจากข้อมูลการจัดส่งเบื้องต้นสะท้อนถึงความต้องการซื้อ (demand) ในช่วงเปิดตัวที่แข็งแกร่งกว่าในภูมิภาคอื่นๆ
นักวิเคราะห์จาก Loop Capital เป็นอีกหนึ่งเจ้าที่เพิ่งปรับคำแนะนำหุ้น Apple จาก ‘ถือ’ (hold) ขึ้นเป็น ‘ซื้อ’ (buy) เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม โดยชี้ให้เห็นแนวโน้มความต้องการ iPhone ในเชิงบวก พร้อมทั้งปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 315 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเพิ่มขึ้นประมาณ 25% จากราคาปิดวันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม และ 20.12% จากราคาปิดวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม
ทั้งนี้ การทำ all-time high ของหุ้น Apple ในวันที่ 20 ตุลาคม เป็นการทำ all-time high ครั้งแรกในปีนี้ หลังจากสถิติเดิมเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2024
จากนั้น ราคาหุ้น Apple ก็ปรับตัวลงในช่วงต้นปี 2025 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่รุนแรงในจีน และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับวิธีที่บริษัทจะรับมือกับภาษีศุลกากรของสหรัฐฯที่กำหนดอัตราสูงต่อสินค้าที่นำเข้าจากหลายประเทศในเอเชีย เช่น จีนและอินเดีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตหลักของ Apple ส่งผลให้ Apple เป็นหุ้นที่ทำผลงานได้ต่ำกว่าดัชนี S&P 500 มาตลอดทั้งปี
ราคาหุ้น Apple ดิ่งลงมากถึง 31% ในช่วงที่ตกต่ำที่สุดในเดือนเมษายน แต่ก็ฟื้นตัวกลับมาได้ โดยเพิ่มขึ้นแล้วมากกว่า 50% นับจากเดือนเมษายน
ทั้งนี้ หากราคายังคงทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน หุ้น Apple จะจบปี 2025 ด้วยผลงาน +5%
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวอันดับแรกในระยะสั้นๆ นี้จะเกิดขึ้นเมื่อ Apple ประกาศผลประกอบการของไตรมาส 3 ปี 2025 ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้
แม้จะอยู่ในโมเมนตัมที่ดูดี แต่ Apple ยังมีความท้าทายและปัจจัยลบที่อาจส่งผลต่อราคาหุ้น อย่างเช่น เรื่องภาษีของทรัมป์ที่ยังเป็นความเสี่ยงต่อบริษัทที่ผลิตนอกประเทศ และนักลงทุนผิดหวังกับการที่ Apple เลื่อนเปิดตัวฟีเจอร์ AI ที่โหมโปรโมตมาก่อนหน้านี้
นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งไม่แน่ใจว่าโมเมนตัมในช่วงแรกของการขาย iPhone 17 นั้นสมเหตุสมผลกับ valuation ของ Apple หรือไม่ เนื่องจากราคาหุ้นซื้อขายสูงกว่า 32 เท่าของคาดการณ์กำไร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีซึ่งอยู่ที่ 22 เท่าอย่างมาก นอกจากนี้ หุ้น Apple ยังมีราคาสูงกว่า Nasdaq 100 และเป็นหุ้นที่ราคาแพงเป็นอันดับ 2 ในกลุ่ม ‘นางฟ้าทั้งเจ็ด’ (Magnificent Seven) รองจาก Tesla
นอกจากนั้น Apple ยังคงเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์ชื่นชอบน้อยกว่าบริษัทใหญ่อื่นๆ โดยจากการที่ Bloomberg ติดตามการวิเคราะห์ของบรรดานักวิเคราะห์ พบว่ามีเพียง 58% เท่านั้นที่แนะนำให้ ‘ซื้อ’ หุ้น Apple นับเป็นหุ้นที่สัดส่วนคำแนะนำ ‘ซื้อ’ เกือบต่ำสุดในกลุ่มนางฟ้าทั้งเจ็ด ดีกว่า Tesla เพียงตัวเดียว
อ้างอิง: Reuters, Yahoo Finance, Bloomberg