Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
คุยกับซีอีโอ FINNOMENA ระบบลดหย่อนใหม่ไม่แฟร์ TISA ดีต่อคนไทยจริงหรือ?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

คุยกับซีอีโอ FINNOMENA ระบบลดหย่อนใหม่ไม่แฟร์ TISA ดีต่อคนไทยจริงหรือ?

10 ธ.ค. 68
17:55 น.
แชร์

จากกรณีที่กระทรวงการคลังผลักดันโครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล หรือ Thailand Individual Savings Account (TISA) เพื่อส่งเสริมการออมของคนไทยพร้อมกับช่วยตลาดทุนไทย แล้วเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมวงกว้าง ในส่วนการปรับระบบลดหย่อนภาษี ที่กลุ่มคนที่มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี เสียประโยชน์เต็ม ๆ 

ณ วันที่ 10 ธันวาคม ยังไม่มีรายละเอียดอย่างเป็นทางการ และกระทรวงการคลังยังไม่ได้นำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในการประชุมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการชะลอเพื่อนำกลับไปทบทวนกฎเกณฑ์ หลังจากสังคมตั้งคำถามถึงระบบการหักลดหย่อน ในขณะที่รายละเอียดสินทรัพย์ที่กำหนดให้เข้าร่วมโครงการได้ก็ยังไม่ชัดเจน

SPOTLIGHT พูดคุยกับ ชยนนท์ รักกาญจนันท์ CEO & Co-Founder FINNOMENA Funds แพลตฟอร์มบริหารเงินลงทุนชื่อดังของไทย ถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับ TISA ซึ่งมีสองสามคำถามที่เกิดขึ้นพร้อมกัน หนึ่ง คือ ระบบลดหย่อนภาษีแบบใหม่ที่คนรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทเสียประโยชน์ สอง-โครงการนี้จะช่วยตลาดหุ้นไทยได้มากน้อยแค่ไหน และสาม-เป็นการส่งเสริมการออมที่ดีต่อคนไทยจริงหรือ เมื่อตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนต่ำรั้งท้ายตลาดโลก 

TISA เท่าที่รู้ ณ วันนี้ 

เนื่องจาก TISA ยังไม่มีรายละเอียดที่สรุปชัดเจนออกมาจากรัฐบาล ดังนั้น ณ เวลานี้ คนตลาดทุนและคนในสังคมยังไม่ทราบว่ากฎเกณฑ์ของ TISA ที่รัฐบาลจะเคาะให้ใช้จริงจะเป็นอย่างไร 

ชยนนท์อธิบายเท่าที่มีข้อมูลจากข่าวล่าสุดว่า TISA คือบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล ที่ยังไม่ทราบว่าจะต้องเปิดบัญชีใหม่สำหรับ TISA โดยตรง หรือสามารถใช้บัญชีเงินฝากที่มีอยู่เพื่อลงทะเบียน TISA ได้ 

ในแง่ระบบการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี มีความแตกต่าง 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ วงเงินลดหย่อนภาษี TISA จะรวมวงเงินการลงทุนในทุกผลิตภัณฑ์การลงทุนที่รัฐบาลระบุให้นำไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 800,000 บาท โดยไม่กำหนดสัดส่วนประเภทผลิตภัณฑ์การลงทุน ต่างจากระบบเดิมที่แยกประเภทผลิตภัณฑ์การลงทุน และกำหนดสัดส่วนให้เงินลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) บวกกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (provident fund) สามารถลดหย่อนภาษีได้ในวงเงินสูงสุด 500,000 บาท และเงินลงทุนในกองทุน ThaiESG ลดหย่อนภาษีได้ในวงเงินสูงสุด 300,000 บาท  

ส่วนเรื่องที่สอง คือ การปรับเกณฑ์อัตราการลดหย่อนภาษี ให้คนที่มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี สามารถนำวงเงินจ่ายลงทุนมาลดหย่อนภาษีได้ 0.7 เท่า หรือ 70% ของจำนวนเงินลงทุน ส่วนคนที่รายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี สามารถนำวงเงินจ่ายลงทุนมาลดหย่อนภาษีได้ 1.3 เท่า 

“การปรับระบบลดหย่อนนี้หมายความว่า เราต้องวางแผนภาษีใหม่ทั้งหมด ต้องรอดูเกณฑ์และเงื่อนไขว่าให้สิทธิสำหรับผลิตภัณฑ์ใดบ้าง ขณะเดียวกัน สิทธิการลดหย่อนก็ไม่เท่ากัน” ซีอีโอ FINNOMENA กล่าว 

ระบบลดหย่อนควรเท่าเทียม ไม่ลดสิทธิใคร

เรื่องเกณฑ์รายได้ที่ได้รับสิทธิลดหย่อนไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นประเด็นร้อนในสังคมนั้น ชยนนท์กล่าวว่า เหตุที่คนรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเดือดดาลกันในโซเชียลมีเดีย เพราะเกณฑ์ใหม่กำหนดให้คนที่รายได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปีสามารถนำเงินลงทุนมาลดหย่อนภาษีได้เพียง 0.7 เท่า หรือ 70% ซึ่งคนในสังคมรู้สึกว่าไม่แฟร์ อีกทั้ง จุดตัด 1.5 ล้านบาทนั้น ไม่มีการอธิบายที่มาว่าอิงมาจากอะไร  

“ต้องกลับไปมองที่เจตนาของภาครัฐว่าต้องการอะไร ผมถามว่ารายได้ 1.5 ล้านบาทต่อปี ถือว่าเป็นคนรวยไหม ? ในมุมมองของรัฐบาล คงมองว่ารายได้ 1.5 ล้านบาทคือคนรวย จึงตัดเส้นแบ่งตรงนี้” เขาตั้งคำถาม 

ในมุมมองของชยนนท์ คนที่มีรายได้ 1.5 ล้านบาทต่อปี ถือเป็นคนชั้นกลาง ไม่ใช่คนรวย และบางคนอาจจะมีภาระในชีวิตมาก อาจจะเป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นคนเดียวในครอบครัวที่มีรายได้ซึ่งต้องเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวหลายคน รัฐบาลจึงควรพิจารณาให้รอบคอบรอบด้าน ไม่ใช่ขีดเส้น 1.5 ล้านบาท โดยไม่มีการอธิบายที่มา 

“ครม.ต้องตอบคำถามให้ได้ ดร.เอกนิติต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่าเส้น 1.5 ล้านบาทกำหนดมาจากอะไร เงื่อนไขดูจากอะไร ตรงนี้สำคัญ” ซีอีโอ FINNOMENA กล่าว 

ชยนนท์อธิบายเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า ระบบลดหย่อนแบบใหม่นี้ทำให้คนที่มีรายได้ต่างกันเพียงเล็กน้อย ได้รับสิทธิลดหย่อนต่างกันอย่างมาก เช่น คนที่มีรายได้ 1,500,001 บาท หากลงทุน 100,000 บาท จะได้รับลดหย่อนเพียง 70,000 บาท ขณะที่คนที่ที่มีรายได้ 1,499,999 บาท หากลงทุน 100,000 บาทเท่ากัน จะได้รับลดหย่อน 130,000 บาท 

“มีรายได้ต่างกันแค่บาท 2 บาท แต่ได้ลดหย่อนต่างกัน 60,000 บาท ต่อการลงทุน 100,000 บาท มันคืออะไร คนที่เดือดร้อนอยู่ ณ ตอนนี้คือคนที่รายได้เกิน 1.5 ล้านบาท รัฐบาลต้องตอบคำถามเขาให้ได้ รัฐบาลอย่ามองว่าเขาเป็นคนส่วนน้อยในประเทศ คุณต้องไม่ลืมว่าคนที่รายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปีคือคนที่อยู่ในระบบภาษี คือคนที่จ่ายภาษีมาตลอด รายได้ของเขาอาจจะเป็นรายได้เดียวของครอบครัวก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่ารัฐบาลควรคิดให้รอบคอบ”

ชยนนท์มองว่าการที่รัฐทบทวนและปรับปรุงระบบลดหย่อนภาษี “เป็นความตั้งใจที่ดี” และเข้าใจว่ารัฐบาลมีเหตุผลในการให้สิทธิลดหย่อน 1.3 เท่า สำหรับคนที่รายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท เพื่อจูงใจให้เข้ามาออม แต่ที่ไม่เห็นด้วยคือ สิทธิการลดหย่อน โดยมองว่า รัฐบาลไม่ควรตัดสิทธิคนที่รายได้เกิน 1.5 ล้านบาท ควรจะให้สิทธิลดหย่อน 1 เท่า หรือ 100% ของจำนวนเงินลงทุน เหมือนสิทธิเดิมที่ได้มาก่อนหน้านี้ 

TISA อาจไม่ดีต่อคนไทย และไม่ช่วยตลาดหุ้นไทย ?

ด้านผลิตภัณฑ์การลงทุนที่รัฐบาลจะให้สิทธิอยู่ในบัญชี TISA ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนนั้น ชยนนท์วิเคราะห์ว่า เมื่อเป้าหมายหนึ่งของโครงการนี้คือ อยากสนับสนุนตลาดทุนไทย ดังนั้น จึงเป็นไปได้สูงว่าโครงการนี้จะให้สิทธิเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย รวมถึงอาจจะให้สิทธิการลงทุนในหุ้นรายตัว โดยกำหนดเฉพาะหุ้นที่เครดิตดี มี CG Score สูง หรือตามแต่เงื่อนไขที่กำหนดเฉพาะ 

ชยนนท์มองว่า การให้ลงทุนเฉพาะผลิตภัณฑ์ในตลาดหุ้นไทยเป็นความย้อนแย้ง เพราะเป้าหมายของรัฐบาลคือ อยากสนับสนุนตลาดหุ้นไทย ควบคู่ไปกับอยากผลักดันให้คนไทยออมเงินเพื่อมีเงินใช้ยามเกษียณ แต่หลายปีที่ผ่านมา หุ้นไทยทำผลงานได้ไม่ดี ถ้าประชาชนนำเงินมาลงทุนเฉพาะในหุ้นไทยแล้วผลตอบแทนไม่ดี จะเกิดผลเสียต่อเงินออมของประชาชน และจะเกิดความไม่พอใจขึ้นในสังคม 

ชยนนท์คาดว่า หากรัฐบาลให้สิทธิเฉพาะการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย มีความเป็นไปได้มากที่ TISA จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะคนไม่เชื่อมั่นในผลงานของหุ้นไทยและมองว่าการลงทุนในหุ้นต่างประเทศให้ผลตอบแทนดีกว่า ขณะที่การลงทุนในทองก็เป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี 

“ถ้ารัฐประกาศความชัดเจนว่า บัญชี TISA ให้ลงทุนลดหย่อนภาษีได้เฉพาะในหุ้นไทยและกองทุนหุ้นไทยเท่านั้น ผมคิดว่าเป็นไปได้ที่จะไม่มีคนซื้อเลย เพราะถึงแม้ว่าจะได้รับการลดหย่อนภาษี แต่ไม่มีอะไรการันตีว่าหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนดี 

“ในความเห็นผมอยากเตือนรัฐบาลว่า เป็นเรื่องถูกต้องที่รัฐบาลต้องสนับสนุนตลาดทุนไทย แต่อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล คือ ถ้าคุณไม่ช่วยประชาชนโดยการทำรัฐสวัสดิการให้ประชาชนเกษียณอย่างมีความสุข การออมเพื่อการเกษียณที่ดีของประชาชนก็จำเป็นต้องจัดสรรเงินลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในหลากหลายประเภทสินทรัพย์ เพราะฉะนั้น เครื่องมือที่ลงทุนในต่างประเทศ ควรได้รับสิทธิในบัญชีนี้ด้วย” ซีอีโอ FINNOMENA ส่งเสียงถึงรัฐบาล 

นอกจากนั้น ชยนนท์เสนอแนะแนวทางช่วยตลาดหุ้นไทยให้พ้นจากหล่มว่า วิธีที่ดีที่สุดในระยะยาว คือ การทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น ทำตลาดหุ้นไทยให้โปร่งใส ทำให้นักลงทุนเห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้ ซึ่งจะเรียกความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อตลาดหุ้นไทยได้ 

“ถ้านโยบายยังเป็นอย่างนี้ ตลาดหุ้นไทยยังเป็นอย่างนี้ เศรษฐกิจยังเป็นอย่างนี้ ผมกังวลว่านโยบายจะไม่ประสบความสำเร็จ และคนไทยจะไม่ได้ใช้เครื่องมือในการลดหย่อนภาษีหรือเครื่องมือเพื่อการออมอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วเงินจะไหลออกไปอยู่นอกประเทศ คือมีการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น หรือมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากขึ้น ผมเกรงว่าจะกลายเป็นแบบนั้น” 

แนะนำกองทุนดี ๆ สำหรับลงทุนเตรียมเกษียณ 

เมื่อ SPOTLIGHT ขอให้แนะนำกองทุนดี ๆ สำหรับการลงทุนเพื่อเก็บออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ โดยไม่จำกัดว่าเป็นหุ้นไทย กองทุนหุ้นไทย หรือสินทรัพย์ใด

ซีอีโอ FINNOMENA เริ่มจากให้ข้อมูลว่า อายุของผู้ลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกกองทุน โดยอธิบายว่า กองทุนเพื่อการเกษียณที่รัฐบาลให้ลดหย่อนภาษีได้มีสองประเภท คือ RMF กับ ThaiESG เงื่อนไขของ RMF คือ ต้องถือครบ 5 ปี และอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์จึงจะขายได้ ส่วนกองทุน ThaiESG เมื่อถือครบ 5 ปีสามารถขายได้เลยโดยไม่ต้องรออายุครบ 55 ปี 

ดังนั้น ชยนนท์จึงแนะนำว่า สำหรับคนที่สบายใจกับหุ้นไทย เชื่อมั่นว่าหุ้นไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะดี ควรใช้วงเงิน ThaiESG เพราะไม่ต้องรออายุถึง 55 ปีก็ขายได้ ส่วนกองทุน RMF แนะนำสำหรับคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไปและมีแผนจะขายเมื่ออายุ 55 ปี พร้อมเตือนว่า “อย่าลงทุนกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง” 

ชยนนท์เตือนเพิ่มเติมว่า หลายคนเห็นเทรนด์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาแรง จึงสนใจจะเพิ่มการลงทุนในหุ้น AI แต่ต้องพึงระวังว่า ราคาหุ้น AI ปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้ว และมีโอกาสที่ตลาดจะปรับฐาน หากคนที่อยู่ในวัยใกล้เกษียณนำเงินออมเพื่อการเกษียณไปลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้น AI มีความเสี่ยงที่เงินเกษียณจะลดลงเมื่อตลาดปรับฐานในช่วงอีกไม่กี่ปีข้างหน้า 

“เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยู่ในช่วงวัยที่ใกล้จะขายกองทุนแล้ว ผมคิดว่าควรลดสัดส่วนทำให้หุ้นเหลือประมาณไม่เกิน 20% ของพอร์ต แล้วนำเงินไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ เพื่อให้ปลอดภัย และควรลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ลงที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าตราสารหนี้ไทย” 

สำหรับคนที่ใกล้ถึงวัยเกษียณ ชยนนท์แนะนำกองทุนดี ๆ ที่เหมาะสมกับวัยและระยะเวลาการลงทุน ดังนี้  

  • KKP GB THAI ESG – กองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐไทยและตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน เช่น ตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green bond) ตราสารเพื่อความยั่งยืน (Sustainability bond) ตราสารส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked bond) เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากรับความเสี่ยงมาก 
  • TISCOEDF – กองทุนหุ้นไทยของทิสโก้ที่ลงทุนในหุ้นปันผลสูง เหมาะสำหรับคนที่อยากได้ผลตอบแทนสูงกว่ากองทุนตราสารหนี้ เป็นตัวเลือกกองทุนหุ้นไทยที่ดี เพราะตลาดหุ้นไทยไม่มีหุ้นเติบโต (growth stock) ดังนั้น จึงต้องหวังผลตอบแทนจากหุ้นปันผลสูงและมีความปลอดภัยสูง 
  • K-GDBOND – กองทุนตราสารหนี้โลก ของ บลจ.กสิกรไทย ที่ลงทุนในกองทุน PIMCO GIS Income Fund ของ PIMCO กองทุนนี้ให้ผลตอบแทนย้อนหลังประมาณ 4% ถึง 6% 

สำหรับคนที่ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะเกษียณ หรืออายุต่ำกว่า 40 ปี ซึ่งเหลือเวลาลงทุนอีกหลายปี ชยนนท์แนะนำว่า ควรลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศในตลาดที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในโลก นั่นคือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีให้เลือกมากมาย ทั้งกองทุนที่อิงดัชนี S&P 500 (หุ้นที่ดีที่สุด 500 ตัวในตลาดหุ้นสหรัฐฯ) และ Nasdaq 100 (หุ้นเทคโนโลยีที่ดีที่สุด 100 ตัวในตลาดหุ้นสหรัฐฯ) ซึ่ง Nasdaq 100 ให้ผลตอบแทนดีกว่า S&P 500 เพราะอัตราการเติบโตของบริษัทกระจุกอยู่ในกลุ่มบริษัทเทคเป็นส่วนใหญ่ 

นอกจากนั้น ชยนนท์แนะนำว่า อีกเซกเตอร์หนึ่งที่น่าสนใจนอกจากหุ้นเทค คือ เฮลท์แคร์ เพราะเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ คนใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น และไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ก็ต้องมีคนป่วยและต้องมีการดูแลรักษาพยาบาล

ภายใต้สองธีมที่ว่ามา ชยนนท์แนะนำสองกองทุน คือ B-INNOTECH กองทุนของ บลจ.บัวหลวง ที่กระจายลงทุนในหุ้นเทคทั่วโลก ซึ่งดีในแง่การกระจายความเสี่ยง เพราะจีนกับสหรัฐอเมริกายังคงแข่งกันพัฒนาเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดนิ่ง ซื้อกองทุนนี้กองทุนเดียวได้ทั้งหุ้นเทคสหรัฐฯ จีน และไต้หวัน และกองทุน TGHRMF-A กองทุนของทิสโก้ที่ลงทุนในหุ้นบริษัทเฮลท์แคร์ทั่วโลก 

นอกจากนั้น สำหรับสายซิ่ง ต้องการลงทุนในบิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ แต่อยากได้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วย ชยนนท์แนะนำกองทุน ASP-DIGIBLOC กองทุนของแอสเซทพลัสที่ลงทุนในกลุ่มบริษัทเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน 

ส่วนกองทุนทองคำ ชยนนท์ให้ข้อมูลว่า กองทุนทองคำทุกกองในไทยลงทุนในกองทุนแม่กองเดียวกัน คือ SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ลงทุนโดยตรงในทองคำแท่งจริง ๆ ต้องมีทองคำอยู่ในคลังจริง แต่ส่วนที่ต่างกันของกองทุนในไทย คือ ค่าธรรมเนียมของแต่ละกองทุน และประเภทกองทุนแบบป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (hedging) กับกองทุนแบบที่ไม่ป้องกันความเสี่ยง

ชยนนท์แนะนำว่า สำหรับคนที่มีระยะเวลาการลงทุนยาว ไม่ควรซื้อแบบที่มีการป้องกันความเสี่ยง (hedging) เพราะจะต้องเสียค่า hedging ประมาณ 2% ต่อปี หากถือยาว 10 ปี ต้องเสียไปถึง 20%

หากต้องแนะนำกองทุนทองคำเพียงหนึ่งกองในไทย ชยนนท์เลือก BGOLD ของ บลจ.บัวหลวง

นอกจากนั้น ชยนนท์ยังแนะนำในแง่สัดส่วนการลงทุนด้วยว่า ไม่ควรลงทุนในทองคำเกินสัดส่วน 20% ถึง 25% ของพอร์ตการลงทุน

แชร์
คุยกับซีอีโอ FINNOMENA ระบบลดหย่อนใหม่ไม่แฟร์ TISA ดีต่อคนไทยจริงหรือ?