
หลังจากเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อโครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล หรือ Thailand Individual Saving Account (TISA) ซึ่งกำหนดเกณฑ์ให้คนรายได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี สามารถนำวงเงินลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้เพียง 0.7 เท่า จากเดิมที่หักได้ 1 เท่า
วันนี้ (11 ธันวาคม 2568) เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง วินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง จินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ต้องแถลงข่าวด่วนเพื่อให้ข้อมูลภาพรวมและข้อมูลทางเทคนิคของมาตรการเพิ่มการออมของประชาชน ซึ่งมี TISA เป็นประเด็นร้อน
เอกนิติยืนยันว่า โครงการ TISA ไม่ได้มีจุดประสงค์ทางการคลัง หรือรีดภาษีจากคนรายได้สูงเพิ่ม แต่มีจุดประสงค์ส่งเสริมการออมและการลงทุนของประชาชน เพื่อให้มีหลักประกันชีวิตที่มั่นคงในวัยเกษียณ ซึ่งถูกบรรจุเป็นเสาที่ 4 ของชุดมาตรการ Quick Big Win คือ ‘มาตรการการออมและความมั่นคงทางการเงิน’
ในการแถลงข่าวมีการอธิบายว่า การออมเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น เพราะปัจจุบันคนไทยมากกว่า 90% มีเงินออมไม่พอใช้หลังเกษียณ และการออมของคนไทยกำลังลดลง โดยในปี 2557 การออมของไทยอยู่ที่ 27.70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) แต่ในปี 2566 ลดลงเหลือ 25.60% ของ GDP ขณะที่ไทยก้าวเข้าสู่ ‘สูงวัยอย่างสมบูรณ์’
แนวโน้มดังกล่าวนี้นำมาซึ่งความเสี่ยงทั้งต่อประชาชนและประเทศ ความเสี่ยงต่อประชาชน คือ คนส่วนใหญ่มีเงินออมไม่เพียงพอสำหรับชีวิตหลังเกษียณ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความมั่นคงในวัยสูงอายุ และความเสี่ยงต่อประเทศ คือ ภาระการคลังในอนาคตจะสูงขึ้น เพราะหากประชาชนไม่มีหลักประกันของตนเอง รัฐต้องแบกรับภาระสวัสดิการเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ดังนั้น โจทย์สำคัญ คือ ทำอย่างไรให้คนเริ่มออมเร็วขึ้น ออมต่อเนื่องขึ้น และออมได้ในหลายรูปแบบ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งในวัยเกษียณ
จากโจทย์ดังกล่าว กระทรวงการคลังได้จัดทำชุดมาตรการที่ครอบคลุมทุกมิติของความมั่นคงทางการเงิน ตั้งแต่การสร้างแรงจูงใจในการออม การเข้าถึงการลงทุนที่มั่นคง ไปจนถึงการสร้างหลักประกันชีวิต ด้วย 3 มาตรการหลักที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนไทยทุกกลุ่ม ภายใต้ 3 แกน คือ จูงใจ มั่นใจ สบายใจ ซึ่ง TISA ที่ศึกษาและนำเสนอโดยฝั่งตลาดทุน ถูกนำมาบรรจุไว้ชุดมาตรการ โดยอยู่ภายใต้แกน ‘จูงใจ’ คือ การส่งเสริมให้ประชาชนออม/ลงทุนที่ออกแบบเองตามความต้องการ พร้อมได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จูงใจ
TISA มีชื่อเต็ม ๆ ว่า โครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล หรือ Thailand Individual Saving Account (TISA) ซึ่งมีหลักการคือ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนออมมากขึ้น และเป็นการสนับสนุนตลาดทุนไทยในเวลาเดียวกัน
จุดเด่นของ TISA คือ มีความยืดหยุ่นสูง ผู้ลงทุนมีอิสระ สามารถออกแบบ-ปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ด้วยตัวเอง ไม่มีการจำกัดสัดส่วนการลงทุนผลิตภัณฑ์การลงทุนใด เช่น สามารถซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญได้เต็มวงเงิน และมีกลไก Pledging ผู้ลงทุนสามารถนำพอร์ตการลงทุนไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อได้
สถานะ ณ ปัจจุบันของ TISA คือ กระทรวงการคลังนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) หรือ ครม.เศรษฐกิจแล้ว เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 และยังอยู่ระหว่างทบทวนหารือในรายละเอียด ซึ่งอาจจะมีการปรับแก้เกณฑ์ ตั้งเป้าจะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ภายในปี 2568 นี้
รายละเอียดสำคัญที่ยังอยู่ระหว่างการทบทวน-หารือและคาดว่าจะมีการปรับแก้ คือ ตัวคูณลดหย่อนภาษีสำหรับคนที่รายได้สูงกว่าเส้นแบ่ง ซึ่งเกณฑ์ที่เปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ คือ
รายละเอียดของ TISA ในส่วนที่ชัดเจนแล้ว มีการนำเสนอในการแถลงข่าว ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2568 และไม่ได้ระบุว่าจะมีการปรับแก้ มีดังนี้
สิทธิประโยชน์ของ TISA
เพดานวงเงินลงทุนคำนวณลดหย่อน
ผลิตภัณฑ์ที่ร่วมโครงการ TISA
.