
การประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านอีกครั้ง และกลายเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดทุนทันที โดยรัฐบาลชุดปัจจุบันต้องทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาลรักษาการ พร้อมข้อจำกัดด้านอำนาจในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและการใช้งบประมาณ ขณะที่กรอบเวลาการจัดการเลือกตั้งใหม่ถูกกำหนดไว้ภายใน 45-60 วัน นับจากวันที่ พ.ร.ฎ. ยุบสภามีผลบังคับใช้
ภายใต้บริบทดังกล่าว บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งประเมินตรงกันว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มเผชิญความผันผวนเพิ่มขึ้นในระยะสั้น จากความไม่แน่นอนทางการเมืองและความล่าช้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่นักลงทุนเคยคาดหวัง อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังมองว่า Downside ของตลาดเริ่มจำกัดจากระดับมูลค่าหุ้นที่อยู่ในโซนต่ำ และเริ่มมองหาโอกาสการลงทุนเชิงกลยุทธ์
บทความนี้ SPOTLIGHT รวบรวมและถ่ายทอดมุมมองของนักวิเคราะห์ต่อทิศทางการลงทุนภายหลังการยุบสภา พร้อมชี้เป้าหลักทรัพย์ที่ยังน่าจับตาในช่วงความไม่แน่นอนทางการเมือง
บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) ประเมินปัจจัยภายในประเทศจากกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยื่นทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานยุบสภา ซึ่งจะนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ภายในกรอบเวลา 45-60 วัน นับตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลจะเข้าสู่สถานะ “รัฐบาลรักษาการ” อย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ มองว่าการเป็นรัฐบาลรักษาการจะทำให้การดำเนินนโยบายและการออกมาตรการต่าง ๆ ขาดความต่อเนื่องและมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะมาตรการ Thailand Individual Saving Account (TISA) ที่มีแนวโน้มไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐบาลรักษาการไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการผูกพันรัฐบาลชุดใหม่โดยไม่จำเป็น รวมถึงการอนุมัติโครงการใหม่ที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งประเมินว่าจะกลับมากดดันให้ตลาดหุ้นไทยและค่าเงินบาทมีความผันผวนอีกครั้งในระยะถัดไป
นักวิเคราะห์ประเมินโดยอ้างอิงผลการศึกษาย้อนหลังตั้งแต่ปี 2538 พบว่าการยุบสภาในอดีตมักส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวซึมลงต่อเนื่องราว 1 เดือน โดยระดับจุดต่ำสุดเฉลี่ยอยู่ที่ติดลบประมาณ 4% อย่างไรก็ดี ในรอบนี้ด้วยระดับ Valuation ของตลาดหุ้นไทยที่อยู่ในโซนต่ำมากแล้ว ตัวเลขการปรับลงดังกล่าวจึงถูกให้น้ำหนักเป็นเพียงกรณีเลวร้ายที่สุด (Worst case) เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า SET Index ในกรณีแย่สุดยังคงอยู่แถวบริเวณ 1,200 จุด หรือราว -4% จากระดับปัจจุบัน ตามกรอบที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม ความผิดหวังในระยะสั้นมีแนวโน้มหลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะความคาดหวังต่อนโยบายกระตุ้นการบริโภคที่ตลาดเฝ้ารอ ไม่ว่าจะเป็นโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 หรือโครงการ Easy E-receipt ซึ่งขณะนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากมากขึ้น หลังไม่ได้ถูกบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในช่วงที่ผ่านมา ภายใต้บริบทดังกล่าว หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก มีความเสี่ยงเผชิญแรงกดดันด้าน Sentiment เชิงลบในระยะสั้น
จากภาพความไม่แน่นอนทางนโยบาย ฝ่ายวิจัยแนะนำให้นักลงทุนโยกเงินบางส่วนเข้าสู่หุ้นกลุ่มปลอดภัย เพื่อรับมือกับช่วงสุญญากาศทางการเมือง โดยเน้นกลุ่มการแพทย์และสาธารณูปโภค อาทิ BH, BDMS รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้าอย่าง GULF, GPSC และ BGRIM ทั้งนี้ หากราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลงแรงในช่วงสั้นราว 5% ขึ้นไป มองว่าจะเริ่มเป็นจังหวะในการทยอยเพิ่มน้ำหนักอีกครั้ง เนื่องจากสถิติในอดีตสะท้อนว่ากลุ่มค้าปลีกมักเป็น Sector ที่ปรับตัวแบบ Sideways up ได้เด่นในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ต่อเนื่องไปจนถึงราว 2 เดือนหลังการเลือกตั้ง แม้ช่วงสุญญากาศทางการเมืองใน 1-2 เดือนข้างหน้าอาจลดทอนความคาดหวังด้านนโยบายลงบ้าง แต่เมื่อผนวกกับช่วง High season ของการท่องเที่ยวและการบริโภค รวมถึง Valuation ที่อยู่ในระดับต่ำเป็นทุนเดิม ยังถือเป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับกลยุทธ์ “Buy on Weakness”
ในมุมมองด้านนโยบายการเงิน ประเมินว่าการยุบสภาอาจฉุดให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวในระยะสั้น แต่ในอีกด้านหนึ่งจะยิ่งเพิ่มโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมวันที่ 17 ธันวาคมนี้ เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจในประเทศ ท่ามกลางข้อจำกัดของรัฐบาลรักษาการในการใช้งบประมาณ หากเกิดขึ้นจริงจะเป็นปัจจัยหนุนด้าน Sentiment ต่อ ตลาดทุนไทยในสัปดาห์ถัดไป โดยมองว่าหุ้นกลุ่มอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย (Rate-sensitive) และกลุ่ม Bond-like เช่น ไฟแนนซ์ ที่อยู่อาศัย โรงไฟฟ้า รวมถึงกอง REIT/IFF ยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว
สำหรับลำดับถัดไป คาดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยขับเคลื่อนความคาดหวังที่สำคัญของตลาด โดยหากสามารถจัดการเลือกตั้งได้ตามกรอบเวลา จะช่วยลดทอนความกังวลทั้งประเด็นการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ การจัดการปัญหาพื้นที่ชายแดน ตลอดจนความเสี่ยงจากช่วงสุญญากาศของนโยบายเศรษฐกิจขนานใหญ่ลงได้ในระดับหนึ่ง
ขณะที่ในส่วนของความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายหลังการเลือกตั้ง หากอ้างอิงสถิติตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา จะพบว่าปรากฏการณ์ Election rally ในตลาดหุ้นไทยมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ตั้งแต่ราว 2 สัปดาห์ก่อนวันเลือกตั้ง ไปจนถึง 1 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 2.4% และหากย้อนข้อมูลกลับไปถึงปี 2535 ผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 4.7% ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับปฏิทินการเมืองในรอบปัจจุบัน ประเมินว่ากระบวนการ Rally อาจเริ่มเห็นสัญญาณได้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคมเป็นต้นไป
บล.พาย ประเมินปัจจัยในประเทศหลังนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา โดยตามกรอบกฎหมายจะต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน ซึ่งตลาดคาดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ระหว่างนี้จนกว่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่ รัฐบาลปัจจุบันจะทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาลรักษาการ ทำให้การออกโครงการหรือนโยบายที่มีผลผูกพันต่อรัฐบาลถัดไปไม่สามารถดำเนินการได้
ในบริบทดังกล่าว มาตรการ Thailand Individual Saving Account (TISA) ที่เคยอยู่ระหว่างการพิจารณามีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกเลื่อนหรือยกเลิกออกไปก่อน จนกว่าจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่เข้ามารับหน้าที่ ในระยะสั้น นักลงทุนมีแนวโน้มให้น้ำหนักกับความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นหลัก และอาจเลือกขายทำกำไรหุ้นบางส่วน อย่างไรก็ดี บล.พายมองว่าภาวะดังกล่าวจะไม่ยืดเยื้อ และตลาดจะกลับมาให้น้ำหนักกับความคาดหวังต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ในลำดับถัดไป
จากสถิติที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวขึ้นก่อนการเลือกตั้ง โดยกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นทั้งในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง ได้แก่ กลุ่มค้าปลีกและกลุ่มสื่อสาร หากในระยะสั้นตลาดเกิดภาวะ Panic มองเป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสมหุ้นในกลุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ จากจุดเด่นด้านเงินปันผลที่อยู่ในระดับสูงควบคู่กับราคาหุ้นที่ไม่แพง
สำหรับการเคลื่อนไหวของตลาดในวันนี้ ประเมินว่า SET Index จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,245-1,260 จุด โดยแม้ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจกดดันตลาดหุ้นในระยะสั้น แต่เชื่อว่า Downside มีจำกัด เนื่องจากท้ายที่สุดตลาดจะกลับมาสร้างความคาดหวังต่อรัฐบาลชุดใหม่และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ในเชิงกลยุทธ์ หากตลาดปรับฐานมองเป็นโอกาสสะสม โดยเน้นหุ้นกลุ่มค้าปลีก อาทิ CPALL, HMPRO กลุ่มศูนย์การค้าอย่าง CPN กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น BBL, SCB กลุ่มการเงิน ได้แก่ MTC, TIDLOR และกลุ่มท่องเที่ยว เช่น CENTEL และ MINT
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินว่า SET Index มีแนวโน้มปรับตัวในแดนลบและหลุดแนวรับ 1,250 จุด ก่อนลงทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1,230 จุด จากความเสี่ยงทางการเมืองที่เพิ่มสูงขึ้น หลังมีการโปรดเกล้าฯ ยุบสภาอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกัน กลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกยังเผชิญแรงขายในระยะสั้น ซึ่งคาดว่าจะกดดันหุ้น DELTA อย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์มองว่ากระแสเงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลออกในระยะสั้น และอยู่ในโหมด Wait & See เพื่อรอความชัดเจนของผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ขณะที่เม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันในประเทศยังมีข้อจำกัด นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 รวมถึง TISA มีแนวโน้มต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากข้อจำกัดด้านอำนาจของรัฐบาลรักษาการ
บล.ฟินันเซียยังชี้ถึงความเสี่ยงเพิ่มเติมว่าการเลือกตั้งอาจไม่สามารถจัดขึ้นได้ภายในกรอบ 45-60 วันตามกฎหมาย จากสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หากการเลือกตั้งไม่เกิดขึ้นตามกำหนด จะยิ่งเป็นปัจจัยลบต่อโมเมนตัมเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีแนวโน้มชะลอลงอีกครั้งในไตรมาส 1 ปี 2568 อย่างไรก็ดี หากสามารถจัดการเลือกตั้งได้ตามกรอบเวลา โดยอ้างอิงสถิติในอดีต คาดว่า SET Index จะชะลอตัวในช่วงเดือนแรกหลังยุบสภา ก่อนจะเริ่มทยอยฟื้นตัวในช่วง 2-4 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง จากแรงหนุนของเม็ดเงินหาเสียง
ด้านปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) คาดว่าจะยังหนุนให้เกิด Sector Rotation ในระยะสั้น โดยเงินลงทุนจะไหลออกจากหุ้นที่มี Valuation สูง เช่น กลุ่ม AI ไปสู่หุ้น Value Play ที่มีระดับ Valuation สมเหตุสมผลมากกว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำพักเงินในหุ้น Defensive ที่โมเมนตัมกำไรช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 ถึงครึ่งแรกปี 2569 ยังแข็งแกร่ง โดยหุ้นเด่นประจำเดือนธันวาคม ได้แก่ BDMS, BTG, CBG, MAGURO และ WHAUP