
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเกาหลีใต้ในช่วงหลังสงครามเกาหลี ตั้งแต่ทศวรรษ 1960s ถึง 1980s ถูกเรียกว่า "ปาฏิหาริย์แห่งแม่น้ำฮัน" โดยเกาหลีใต้เปลี่ยนสถานะจากประเทศที่ยากจนหลังสงคราม ซึ่งมีเศรษฐกิจหลักเป็นภาคเกษตรกรรม ไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่เน้นการผลิตเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยีระดับสูง เช่น การต่อเรือ รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดักเตอร์
เกาหลีใต้จึงถูกจดจำในฐานะที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” และเป็นหนึ่งในสิบสามประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน ความโดดเด่นที่สุดของเกาหลีใต้คือ การมีบทบาทสำคัญ ในห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่ที่สุดของโลก
แต่อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศที่มีต้นทุนทางทรัพยากรเข้าขั้นติดลบ มายืนในจุดที่เป็นหนึ่งในผู้นำทางเศรษฐกิจแนวหน้าระดับโลก
ทีมข่าว Spotlight เดินทางไปยังเกาหลีใต้ และมีโอกาสได้ร่วมพูดคุยกับคุณโจ บยองกู นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันพัฒนาเกาหลี (Korea Development Institute - KDI) ควบตำแหน่งประธานสถาบันความร่วมมือทางเศรษฐกิจเกาหลี (Korea Economic Cooperation Institute) รวมไปถึงวิเคราะห์เจาะลึกอนาคตความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างเกาหลีใต้และไทย ในด้านอุตสาหกรรม จากมุมมองของดร. คิม กเย ฮวาน นักวิจัยอาวุโส จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเกาหลี (Korea Institute for Industrial Economics & Trade)
ความสำเร็จของเศรษฐกิจเกาหลีใต้เริ่มต้นด้วยการวางแผนที่ชัดเจนภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีพัคจุงฮี เขาได้เปิดตัวแผนพัฒนาเศรษฐกิจห้าปีฉบับแรก (ค.ศ. 1962–1966) โดยรัฐบาลเข้ามาเป็นผู้นำการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้น แผนดังกล่าวเน้นการสร้างการเติบโตที่มุ่งเน้นการส่งออกเป็นหลัก รัฐบาลได้ให้แรงจูงใจมหาศาลแก่ผู้ส่งออก เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ส่งผลให้เกาหลีใต้สามารถผสานตัวเองเข้าสู่ตลาดโลกได้อย่างรวดเร็ว
หัวใจสำคัญของแผนการคือการกำหนด "นโยบายอุตสาหกรรมเป้าหมาย" โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1970 ที่มีการผลักดันโครงการอุตสาหกรรมหนักและเคมีภัณฑ์ (HCI) อย่างจริงจัง รัฐบาลได้ใช้ยุทธศาสตร์การสนับสนุนที่ตรงจุด ตัวอย่างสำคัญคือการก่อตั้ง POSCO หรือ Pohang Iron and Steel Company ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ ในปี ค.ศ. 1968 เพื่อวางรากฐานอุตสาหกรรมเหล็กกล้าของชาติอย่างมั่นคง การใช้อำนาจรัฐในการจัดสรรทรัพยากรไปสู่ภาคอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์เช่นนี้ ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจในยุคนั้น
การทำงานภายใต้แผนเศรษฐกิจ 5 ปี ที่มีเป้าหมายต่อเนื่องและมีความยืดหยุ่นในการปรับตัว ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจเกาหลีใต้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีทิศทาง จากการเน้นอุตสาหกรรมเบาในช่วงแรก ก็เปลี่ยนมาเน้น HCI และต่อมาก็มุ่งสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง การ "ติดกระดุมเม็ดแรก" ด้วยการวางแผนที่เข้มงวดและมีวิสัยทัศน์ ทำให้เกาหลีใต้สามารถเปลี่ยนผ่านจากประเทศที่บอบช้ำจากสงคราม กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการผลิตของโลกได้ในเวลาอันสั้น
คุณโจ บยองกู นักวิจัยอาวุโสจาก KDI กล่าวว่า "ระบบชนชั้นทางสังคมทั้งหมดได้ถูกทำลายลง เพราะการปฏิรูปที่ดินและเพราะภาวะหลังสงคราม ทุกคนจึงต้องเริ่มต้นใหม่จากจุดเดียวกัน หากคุณได้รับการศึกษา คุณสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ นั่นคือความรู้สึกของชาวเกาหลีในช่วงปี 1950s"
คำพูดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า เกาหลีใต้ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากนักหลังจากที่สิ้นสุดสงคราม แต่สิ่งที่ประเทศนี้เลือกลงทุนอย่างมหาศาลและจริงจังที่สุดคือ "ทรัพยากรมนุษย์" เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์อันบอบช้ำ ทำให้ “การศึกษา” กลายเป็นเครื่องมือเดียวที่จะเปลี่ยนสถานะทางสังคมและสร้างความหวังแห่งชาติ
รัฐบาลได้ตอบสนองต่อความต้องการนี้ด้วยการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาอย่างรวดเร็ว โดยการสร้างโรงเรียนจำนวนมากพร้อมกับออก “กฎหมายการศึกษาภาคบังคับ” ที่เข้มงวดถึงขั้นมีการปรับหรือจำคุกสำหรับผู้ที่ไม่ส่งบุตรหลานเข้าเรียน
การผลักดันจากภาครัฐผนวกเข้ากับแรงขับเคลื่อนทางวัฒนธรรมจากผู้ปกครองที่เชื่อว่า "ถ้าลูกของฉันได้รับการศึกษาที่ดี เขาจะเป็นคนที่ดีกว่าฉัน" ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่งในชั่วอายุคน โดยอัตราการรู้หนังสือของเกาหลีใต้พุ่งขึ้นจากเพียง ร้อยละ 22 ในปี ค.ศ. 1945 เป็นกว่าร้อยละ 90 ในปี ค.ศ. 1980 สะท้อนความสำเร็จในการสร้างฐานประชากรที่มีคุณภาพ
เมื่อประเทศมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งแล้ว การลงทุนได้ก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของ อุตสาหกรรมหนักและเคมีภัณฑ์ (HCI) รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้าน เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา โดยตัวอย่างสำคัญคือการจัดตั้ง KAIST หรือ Korea Advanced Institute of Science and Technology ในปี ค.ศ. 1971 สถาบันแห่งนี้ถูกตั้งขึ้นมาโดยมีเป้าหมายหลักในการผลิตนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญระดับสูง เพื่อพัฒนาความสามารถด้านเทคโนโลยีในประเทศให้ทัดเทียมกับโลกตะวันตก การลงทุนอย่างมีวิสัยทัศน์ใน "มันสมอง" ของชาตินี้เอง ที่กลายเป็นเชื้อเพลิงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่ยุคแห่งนวัตกรรมและการผลิตเทคโนโลยีชั้นสูงในที่สุด
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ช่วยเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ให้ก้าวกระโดดคือ การใช้โมเดลความร่วมมือระหว่างรัฐกับกลุ่มบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "แชโบล" (Chaebol) ซึ่งหมายถึงกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ถูกควบคุมโดยตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แชโบลเปรียบเสมือนหัวหอกทางเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลใช้เป็นยานพาหนะในการดำเนินงานตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี โดยปัจจุบันแชโบลที่รู้จักกันดีระดับโลกได้แก่ Samsung, Hyundai, SK, และ LG
คุณโจ บยองกู นักวิจัยอาวุโสจาก KDI ได้ชี้ให้เห็นถึงความชาญฉลาดของรัฐบาลในประเด็นนี้ว่า "รัฐบาลเกาหลีฉลาด สิ่งแรกคือการใช้บริษัทเอกชนคือการดึงประโยชน์สูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงภายนอก เนื่องจากหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐบาลมักจะดำเนินการได้ช้ากว่าบริษัทเอกชน..." การใช้แชโบลจึงช่วยให้ประเทศมีความคล่องตัวในการทำกำไร จากการเปลี่ยนแปลงของโลกได้มากกว่า
รัฐบาลได้ใช้นโยบายการประสานงานระหว่างรัฐและธุรกิจ ผ่านการให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น การรับประกันเงินกู้จากธนาคารของรัฐ หรือการสนับสนุนเงินกู้จำนวนมหาศาลเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น Samsung ได้รับเงินกู้จากรัฐบาลในช่วงทศวรรษ 1970s เพื่อขยายการผลิตเข้าสู่เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งในเวลาต่อมาได้กลายเป็นอุตสาหกรรมส่งออกหลักของประเทศ ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัท Hyundai ก็ได้รับการสนับสนุนในการบุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยในปี ค.ศ. 1975 ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่น Pony ซึ่งเป็นรถยนต์สัญชาติเกาหลีรุ่นแรกที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อจำหน่ายในวงกว้าง สะท้อนถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายใต้การชี้นำและสนับสนุนของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม โมเดลความร่วมมือที่รวดเร็วนี้ก็มีข้อดีและความเสี่ยงที่มาพร้อมกัน ข้อดีคือการสร้างความมั่งคั่งและการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ความเสี่ยงคือการเติบโตแบบมีภาระหนี้สูง (Over-leveraged) และการผูกขาดเศรษฐกิจโดยกลุ่มตระกูลเพียงไม่กี่กลุ่ม ความเสี่ยงดังกล่าวถูกเผยออกมาอย่างชัดเจนในช่วง วิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย ปี ค.ศ. 1997 เมื่อแชโบลหลายแห่งที่มีภาระหนี้สูงเกินตัวต้องประสบปัญหาล้มละลาย นำไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อสร้างระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใส
ความสำเร็จของเกาหลีใต้มาจากพลังของชาตินิยมและวินัยทางสังคม ที่ยอมรับการเสียสละเพื่อการเติบโตในอนาคต ในช่วงทศวรรษ 1960s และ 1970s คนงานในโรงงานยอมรับการทำงานเป็นเวลานานถึง 60-70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แม้ได้รับค่าตอบแทนต่ำ เพราะเชื่อว่าความทุ่มเทนี้จะสร้างความมั่งคั่งให้แก่ชาติและยกระดับชีวิตของลูกหลาน ค่านิยมขงจื๊อ เช่น การทำงานหนัก วินัย และความเคารพ ได้ถูกนำมาใช้หล่อหลอมจริยธรรมการทำงานนี้อย่างได้ผล ทำให้เกิดระดับผลผลิตและความมุ่งมั่นที่สูงมากในภาคอุตสาหกรรม
รัฐบาลได้ใช้ความรู้สึกชาตินิยมนี้ในการระดมพลังประชาชนผ่านขบวนการหมู่บ้านใหม่ (แซมาอึล อุนดง - Saemaul Undong) ในช่วงทศวรรษ 1970s ซึ่งเป็นโครงการระดับชาติที่เน้น "ความขยันหมั่นเพียร ความร่วมมือ และการพึ่งพาตนเอง" แซมาอึล อุนดง ไม่ใช่แค่โครงการเศรษฐกิจ แต่เป็นการปลูกฝังจิตสำนึกใหม่ให้แก่ชุมชนชนบท เพื่อร่วมกันปรับปรุงหมู่บ้าน พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และต่อสู้กับความยากจนอย่างพร้อมเพรียง ความสามัคคีทางสังคมและเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาประเทศนี้เอง ที่ทำให้ประชาชนยอมรับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างเป็นเอกฉันท์
ดังนั้น การยอมรับของประชาชนต่อการทำงานหนักอย่างไม่ย่อท้อ การมีวินัยสูงในที่ทำงาน และการรวมพลังกันเป็นปัจจัยทางวัฒนธรรมที่เปลี่ยนความเสียหายจากสงครามให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดของเกาหลีใต้ และฝังรากลึกมาจนถึงปัจจุบันนี้
ความสามารถในการปรับตัวและการสร้างนวัตกรรมคือ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกาหลีใต้ยังคงรักษาตำแหน่งในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลกไว้ได้ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับ "ความปั่นป่วนครั้งใหญ่" ของระเบียบเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนจากแบบขั้วเดียวไปสู่ระเบียบระหว่างประเทศแบบหลายขั้ว ที่มี "การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ (Great Power Competition)" ระหว่างสหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป และมหาอำนาจทวีปขนาดใหญ่อื่น ๆ
ดร. คิม กเย ฮวาน นักวิจัยอาวุโส จาก KIET ชี้ให้เห็นว่า โครงสร้างการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศกำลังเปลี่ยนไปสู่รูปแบบที่สอดคล้องกับการแข่งขันนี้ แต่เกาหลีใต้ได้วางตำแหน่งตัวเองเป็นมหาอำนาจระดับกลาง ที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจโลก
ในฐานะมหาอำนาจระดับกลางที่มีตลาดภายในประเทศไม่ใหญ่มากนัก เกาหลีใต้จึงถูกบีบให้ต้องเข้าร่วมในตลาดโลกและทำการค้าระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือความท้าทายที่คล้ายกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายแห่งในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีแนวโน้มการกีดกันทางการค้าเพิ่มขึ้น แต่การมีส่วนร่วมในตลาดโลกก็ยังคงเป็นปัจจัยชี้ขาดอย่างแน่นอนสำหรับเกาหลีใต้ในการยกระดับผลิตภาพและความก้าวหน้า
ดร. คิม กเย ฮวาน กล่าวว่า จุดแข็งที่ทำให้เกาหลีใต้สามารถนำทางผ่านความท้าทายนี้ได้คือ "พอร์ตโฟลิโอทางอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลายไม่เหมือนใคร" ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่อุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น เหล็กกล้าและการต่อเรือ ไปจนถึงอุตสาหกรรมล้ำสมัย เช่น เซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่ และ AI ความหลากหลายและความก้าวหน้าในทุกภาคส่วน ทำให้เกาหลีมีแต้มต่อเหนือกว่าประเทศคู่แข่งหลายแห่ง และสามารถ เสริมสร้างความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น ทิศทางในอนาคตของเกาหลีใต้คือการรวมความสามารถทางอุตสาหกรรม เข้ากับประเทศมหาอำนาจระดับกลางอื่น ๆ เพื่อบรรลุความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน และส่งเสริมความร่วมมือทางอุตสาหกรรม ผ่านการที่บริษัทเกาหลีทำงานร่วมกับบริษัทท้องถิ่นในตลาดภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อปรับความสามารถในการผลิตให้เข้ากับความต้องการของแต่ละตลาดอย่างรวดเร็ว ถือเป็นการแก้ปัญหาให้โลกด้วยนวัตกรรม และความร่วมมือ
ในบริบทเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทัศนคติของเกาหลีใต้ต่อประเทศคู่ค้ากำลังเปลี่ยนจากเดิมที่เน้นการค้าฝ่ายเดียวไปสู่การเป็นพันธมิตรที่เท่าเทียมกัน ดร. คิม กเย ฮวาน ได้สะท้อนมุมมองที่น่าสนใจ โดยระบุว่า แต่ก่อนเกาหลีใต้มักมองไทยในแง่ของการเป็นเพียง ‘ตลาดอุตสาหกรรม’ คือเป็นผู้ผลิตนวัตกรรมและหวังให้ไทยเปิดรับสินค้าเหล่านั้น
แต่ในปัจจุบัน เกาหลีใต้ได้เปลี่ยนมามองประเทศไทยเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่เท่าเทียมกันมากขึ้น ซึ่งพร้อมเปิดโอกาสให้เกิดการร่วมมือและแลกเปลี่ยนอย่างยั่งยืน และพร้อมที่จะพูดคุยถึงสิ่งที่อุตสาหกรรมของไทยต้องการอย่างแท้จริง สอดคล้องกับภาพรวมของ "มหาอำนาจระดับกลาง" ที่ต้องรวมกลุ่มกันเพื่อรับมือกับยุคการแข่งขันระหว่างมหาอำนา ที่กำลังก่อตัวขึ้น
ความมุ่งมั่นนี้ถูกตอกย้ำด้วยการเคลื่อนไหวทางการทูตและเศรษฐกิจล่าสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุม APEC ปี 2025 ที่จัดขึ้น ณ เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่ง นายกรัฐมนตรีของไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้เข้าร่วมประชุมและพบปะกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ การหารือดังกล่าวได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือที่ก้าวไปข้างหน้าในหลายมิติ อาทิ ด้านกลาโหม การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล
เหนือสิ่งอื่นใด ข้อริเริ่มที่สำคัญที่สุดที่แสดงถึงความร่วมมือเชิงลึกคือการเร่งรัดให้เกิดข้อสรุปของการเจรจา ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (CEPA) ระหว่างไทย-เกาหลีใต้ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ขยายการค้าและการลงทุน รวมถึงครอบคลุมประเด็นเศรษฐกิจยุคใหม่อย่าง เศรษฐกิจดิจิทัลและความร่วมมือในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในฐานะพันธมิตรยุทธศาสตร์ของเกาหลีใต้