
ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองปูซานคือ ที่อยู่ของหมู่บ้านสีสันสดใสบนเนินเขา “หมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน” หรือ Gamcheon Culture Village ที่ได้ชื่อว่าเป็นทั้ง “มาชูปิกชู” และ “ซานโตรินี” แห่งเกาหลีใต้
แม้ต้องเกร็งกล้ามเนื้อขาขณะเดินขึ้นลงเนินเขาที่หลายจุดชัน แต่วิวบนยอดเนินก็คุ้มค่าจนคนราว 2-5 พันคนเดินทางมานี่หมู่บ้านขนาดเล็กแห่งนี้ทุกวัน มองภาพบ้านเรือนสีฟ้า ขาว เหลือง ส้ม ชมพู แดง และอีกหลายหลายเฉดเรียงไล่ระดับกันไปตามเนิน และหากเดินไปตามถนนสายหลักที่นักท่องเที่ยวนิยมกัน ก็ยังมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก เสื้อผ้า และร้านจำหน่ายงานศิลปะหลากหลาย
แต่หมู่บ้านคัมชอนไม่ได้เช่นนี้มาตั้งแต่เริ่มต้น กลับกันหากเราย้อนเวลาไปได้สัก 80 ปี ภาพของหูม่บ้านแห่งนี้คงจะแตกต่างราวกับหน้ามือและหลังมือเลยทีเดียว
แน่นอนว่าหมู่บ้านต่าง ๆ ย่อมมีการพัฒนาไม่หยุด เศรษฐกิจเติบโต ประชากรเพิ่มขึ้น แต่สำหรับหมู่บ้านคัมชอน ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เนื่องจากอดีตของคัมชอนคือรสขมและความทรงจำอันเจ็บปวดของผู้ลี้ภัยสงคราม และปัจจุบัน นี่คือตัวอย่างเมืองท่องเที่ยวที่พัฒนาไปไกลเกินกว่าความหลัง
จะเข้าใจความเป็นมาของหมู่บ้านคัมชอนได้ ต้องรู้จักสงครามเกาหลีเสียก่อน ย้อนไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง และญี่ปุ่นเป็นฝ่ายปราชัย เกาหลีที่เคยตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของญี่ปุ่น ก็มีชาติอื่นเข้ามาขยายอิทธิพลด้านอุดมคติ แบ่งแยกเกาหลีออกเป็นสองฝ่าย คือเกาหลีเหนือ โดยสหภาพโซเวียต ภายใต้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ และเกาหลีใต้ โดยสหรัฐอเมริกา ภายใต้การปกครองแบบทุนนิยม
อย่างไรก็ตาม วันที่ 25 มิถุนายน 1950 กองทัพเกาหลีเหนือได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งเขตสองเกาหลี บุกเข้าเกาหลีใต้พยายามรวมชาติเป็นหนึ่งภายใต้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ เป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม 3 ปี
แม้การรวมชาติภายใต้การปกคองคอมมิวนิสต์จะไม่สำเร็จ แต่สงครามครั้งนั้นก็สร้างผลกระทบขึ้นมากมาย ประการหนึ่งคือ ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงด้านประชากรครั้งใหญ่ ตามรายงานของ Eui Hang Shin ปี 2001 Effects of the Korean War on Social Structures of the Republic of Korea ระบุว่า มีชาวเกาหลีใต้ราว 290,000 คนอพยพไปเกาหลีเหนือ ทั้งด้วยถูกบังคับและด้วยความสมัครใจ ด้านประชากรเกาหลีเหนือก็หลั่งไหลเข้ามาในเกาหลีใต้กว่า 650,000 คน และประชากรเกาหลีใต้ดั้งเดิมลดลงเกือบ 2 ล้านคน
ปูซานคือเมืองหนึ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงด้านนี้มาก เพราะระหว่างสงครามเกาหลี ปูซาน คือหนึ่งในสองเมืองที่กองทัพเกาหลีเหนือไม่สามารถยึดครองได้ จึงกลายเป็นที่อยู่อาศัยให้ผู้พลัดถิ่นกว่า 500,000 คน
แต่พื้นที่ในหุบเขากลับถูกจับจองอยู่แล้วจากชาวเมืองปูซานที่อาศัยมาก่อน ผู้ลี้ภัยจะไปตั้งบ้านเรือนเบียดเสียดก็คงไม่ได้ แต่พื้นที่ส่วนหนึ่งของเมืองยังว่างอยู่ เนื่องจากตรงนั้นเคยเป็นสุสานของทหารญี่ปุ่น และเมื่อคนญี่ปุ่นถอยออกไป พื้นที่บนเนินเขาจึงว่างเปล่า รอคอยให้ผู้ลี้ภัยเข้าไปจับจอง
ระหว่างปี 1955-1960 พื้นที่เนินเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของปูซานระหว่างภูเขาชอนมาซัน และอง-นยอนบง จึงกลายเป็นบ้านพัก ที่มีชุมชนแออัดอาศัยกันอยู่กว่า 1,000 หลังคาเรือน
ครอบครัวผู้ลี้ภัยมักประกอบอาชีพรายได้ต่ำอย่าง ช่างซ่อมรองเท้า พ่อค้าของเก่า ค้าขายหาบเร่ ทำให้มักอยู่ในบ้านไม้ขนาดเล็กมาก แทบมีที่ไม่พอให้พลิกตัว ไม่มีห้องน้ำภายใน และบางแห่งก็เก่ามากจนทรุดโทรมไม่ถูกสุขลักษณะ อีกทั้งการตั้งหมู่บ้านยังสร้างขึ้นอย่างรีบร้อน ไม่มีการวางผังเมืองแน่ชัด
ต้นทศวรรษที่ 1970 มีบ้านใชุมชนแออัดแห่งนี้ถึง 2,000 หลัง มีประชากรอยู่ถึง 20,000 คน บ้านจากวัสดุราคาถูกเหล่านั้นไม่แข็งแรงพอจะปกป้องผู้อยู่อาศัยจากฝนรั่วหรือลมหนาวที่ชอนไชเข้ามาตามร่องได้ ผู้คนจำนวนมากจึงนิยมอพยพไปยังเมืองใหญ่เมืองอื่น อย่างโซล เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้จำนวนประชากรลดจากช่วงเริ่มก่อตั้ง จาก 30,000 คนเหลือ 8,000 คนในปี 2010 และมีสัดส่วนผู้สูงอายุถึง 26%
ในช่วงทศวรรษที่ 2000 เป็นช่วงที่จำนวนประชากรเมืองคัมชอนลดลงเป็นอย่างมาก หนุ่มสาวหลบหนีไปยังเมืองอื่น ส่วนหนึ่งเพราะสาธารณูปโภคอย่างน้ำประปาและระบบบำบัดน้ำเสียยังขาดแคลน ซึ่งเป็นผลมาจากการไม่ได้วางผังเมืองที่เหมาะสม ทำให้พื้นที่แห่งถูกจัดให้อยู่ลำดับสองในด้านความเสื่อมโทรม ตามดัชนีความเสื่อมซับซ้อน (Index of Multiple Deprivation - IMD) ที่จัดทำโดยทางการท้องถิ่นของปูซาน
เมื่อถึงปี 2009 เมืองแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว เริ่มนำร่องโครงการหมู่บ้านศิลปะ โดยใช้เศรษฐกิจสร้างสรรค์มาฟื้นฟูเมือง และกระตุ้นการมีส่วนร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและความมั่นคงในปีถัดมา คือปี 2010 รวมถึงรัฐบาลนครปูซานในปี 2011
การลงทุนที่เกิดขึ้นโดยภาครัฐ มุ่งเน้นการใช้ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือสำคัญ มีการติดตั้งงานศิลปะ 66 ชิ้น จัดตั้งพิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน ก่อตั้งหนังสือพิมพ์หมู่บ้าน ปรับปรุงอาคารโดยสถาปนิกชื่อดัง จัดอบรมให้ความรู้แก่ชาวบ้าน และสร้างแกลเลอรีต่าง ๆ ถึง 17 แห่ง
รัฐบาลเมืองและส่วนกลางมีโครงการต่าง ๆ ที่พยายามเปลี่ยนหมู่บ้านสลัมแออัดให้กลายเป็นหมู่บ้านแห่งศิลปะ อาทิ โครงการ Sanbok Road Renaissance Project ของปูซาน ที่สร้าง “ภูมิทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์” ให้คัมชอน และหยิบเอาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เช่น การก่อตั้งหมู่บ้านจากชีวิตผู้ลี้ภัยมาเป็นจุดขาย กลายเป็นอัตลักษณ์ที่ควรค่าแก่การบอกต่อ ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นพื้นที่ที่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศิลปะอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Dreaming of Machu Picchu in Busan Project ที่เทศบาลเมืองซาฮากู ร่วมกับชาวบ้านและศิลปินชนะการประมูลโครงการจิตรกรรมฝาผนังระดับชาติ และสร้างงานจิตรกรรมฝาผนังกว่า 10 ชิ้นในหมู่บ้านเมื่อปี 2012 ต่อมา ในปี 2016 สร้างเพิ่ม 12 ชิ้น และอีก 10 ชิ้นในปี 2017 รวมงบประมาณ 485,453 USD หรือ 15,704,404 บาท
โครงการ “Miro Miro” Alleyway Project ในปี 2010 มีการติดตั้งแกลเลอรี 6 แห่งและงานศิลปะ 9 ชิ้น ใช้งบประมาณ 214,700 USD หรือ 6,945,545 บาท
โครงการ Gamnae Townscape Project ปี 2014 มีการจัดเวิร์กช็อป 4 แห่งให้ศิลปินท้องถิ่นเข้าร่วม ใช้งบประมาณ 746,800 USD หรือ 24,158,980 บาท
การพลิกโฉมหมู่บ้านแออัดให้กลายเป็นหมู่บ้านแห่งศิลปะ มีผู้มีส่วนร่วมหลัก 4 กลุ่ม ได้แก่
งบประมาณรวมของโครงการทั้งหมดอยู่ที่ 2,800,600 USD (90,599,410 บาท) โดยเขต Saha-gu ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลนครปูซาน รวมถึงเงินสนับสนุนบางส่วนจากภาคเอกชน และรางวัลจากการแข่งขันต่าง ๆ
ในโลกใบนี้ โครงการที่ประสบความสำเร็จโดยปราศจากความท้าทายคงหาได้ยาก และหมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอนก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เจออุปสรรคกับความท้าทายมาโดยตลอด
เนื่องจากตลอดเส้นทางการฟื้นฟู คัมชอนต้องเผชิญอุปสรรคสำคัญสองประการ ประการแรกคือ การจัดหาทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะการพัฒนาเมืองไม่ใช่ภารกิจที่ทำเสร็จได้ในคราวเดียว แต่ต้องใช้เงินทุนเพื่อบำรุงรักษาและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ ที่ผ่านมา เมืองจึงต้องอาศัยงบประมาณจากการแข่งขันในโครงการระดับชาติ เช่น การประมูลงานศิลปะหรือโครงการสร้างสรรค์ต่าง ๆ
อีกประการหนึ่งคือ ความเพิกเฉยของประชาชน ในช่วงแรก ชาวบ้านจำนวนมากไม่ได้ให้ความสนใจต่อโครงการปรับโฉมเมืองเท่าที่ควร ทว่าหลังจากรัฐบาลจัดกิจกรรมให้ความรู้และเปิดพื้นที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วมมากขึ้น บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไป การพัฒนาเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง จนคัมชอนได้รับเลือกให้เป็น “แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านนโยบายฟื้นฟูเมือง”
อย่างไรก็ตาม หากเดินลัดเลาะไปตามถนนสายหลักที่นักท่องเที่ยวนิยมชมเมือง จะสังเกตได้ว่า ร้านค้าส่วนใหญ่กลับเป็นของผู้ประกอบการจากต่างถิ่นที่เข้ามาเช่าพื้นที่ มากกว่าจะเป็นคนท้องถิ่นเอง แม้ Spotlight จะไม่พบข้อมูลว่ามีการจัดสรรโควตาพิเศษให้คนในพื้นที่ทำธุรกิจหรือไม่ แต่ข้อมูลปี 2017 ระบุว่า ผู้อยู่อาศัยกว่า 8,000 คนกล่าวว่าชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น และอีกกว่า 200 คนได้งานทำจากการพัฒนาหมู่บ้านระหว่างปี 2007–2019
การฟื้นฟูหมู่บ้านคัมชอนถูกยกย่องว่าเป็นตัวอย่างของการพัฒนาเมืองที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม ลดอาชญากรรม และสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน อีกทั้งยังช่วยสร้างสมดุลให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเมืองปูซาน
ที่สำคัญที่สุด มันคือการ “ปลุกชีวิต” ให้หมู่บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยร่วงโรย กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง กลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนได้ปีนขึ้นไปชมวิวเมืองอันสดใส และหายใจได้เต็มปอดอีกหน
หากเราเดินออกมาจากหมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน เลี้ยวขวาจะเป็นทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองปูซาน แต่หากเลี้ยวซ้าย จะเป็นถนนสายเล็กกว่าและชันกว่า ซึ่งเป็นทางไปหมู่บ้านวัฒนธรรมอามีดง
เช่นเดียวกับคัมชอน หมู่บ้านแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดยผู้อพยพ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ อามีดงตั้งอยู่บนสุสานอย่างชัดเจน เพราะผู้อพยพต้องการที่หลบร้อนหลบฝนอย่างเร่งด่วน ท่ามกลางข้อจำกัดของพื้นที่และทรัพยากร จึงถูกบีบให้ต้องอาศัยอยู่ร่วมกับหลุมศพของอดีตเจ้าอาณานิคมญี่ปุ่น โดยใช้หินสลักชื่อหลุมศพแทนฐานบ้าน หลายหลังยังปรากฏชื่อเจ้าของเดิมให้เห็นอยู่บนผนังบ้าน อวดโฉมแก่ผู้ที่เดินผ่านไปมา
บ้านในอดีตมีลักษณะไม่ต่างจากแคมป์ชั่วคราวมากนัก เพดานเตี้ยกว่าความสูงของคนส่วนใหญ่ และความกว้างก็เพียงพอให้ยืดแขนได้เท่านั้น อีกทั้งเนื่องจากต้องสร้างขึ้นอย่างเร่งรีบ บ้านเหล่านี้จึงไม่มีห้องน้ำหรือระบบประปา ทำให้อามีดงต้องมี “ห้องซักล้างส่วนกลาง” สำหรับให้ผู้อยู่อาศัยมาอาบน้ำ ซักผ้า และทำธุระร่วมกัน ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ส่วนกลางของชุมชนไปโดยปริยาย
นอกจากปัญหาด้านสาธารณูปโภคอย่างห้องน้ำและห้องซักล้างที่ขาดแคลนแล้ว อามีดงยังไม่มีรถไฟหรือรถบัสขนาดใหญ่เข้าถึง เนื่องจากตรอกและซอยมีขนาดเล็ก บางช่วงมีความกว้างเพียงสองถึงสามไม้บรรทัด ทำให้การใช้ชีวิตไม่สะดวกสบายนัก ด้วยเหตุนี้ ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่จึงเป็นผู้สูงวัย ส่วนคนหนุ่มสาวมักนิยมย้ายออกไปอยู่ที่อื่น
แม้จะเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กและเดินทางไม่สะดวกนัก แต่อามีดงกลับเป็นหมู่บ้านเดียวในเกาหลีที่เชื่อมโยงอดีตสู่ปัจจุบันได้อย่างชัดเจน ด้วยอาคารบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บนป้ายหลุมศพ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงรากเหง้าและประวัติศาสตร์ของพื้นที่ได้อย่างทรงพลัง จึงกลายเป็นจุดหมายที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวเกาหลีและต่างชาติ เดินทางมาเยี่ยมชม เพื่อร่วมจดจำเรื่องราวของสงครามไปด้วยกัน