Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
7 องค์กรร้องรัฐบาลอนุทิน ต้องจริงจังแก้ไขปัญหาธุรกิจละเมิดสิทธิมนุษยชน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

7 องค์กรร้องรัฐบาลอนุทิน ต้องจริงจังแก้ไขปัญหาธุรกิจละเมิดสิทธิมนุษยชน

17 ก.ย. 68
17:15 น.
แชร์

รัฐบาล ธุรกิจ สิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม 4 คำนี้มีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง เนื่องจากผลกระทบจากการดำเนินการของภาครัฐและภาคธุรกิจ หลายครั้งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน

และหากภาครัฐ-ภาคธุรกิจ ไม่มีนโยบายและกลไกที่ครอบคลุม สิ่งแวดล้อมและประชาชนคือคนที่รับผล เช่น ชุมชนเกษตรกรรมรับผลจากการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรม แหล่งน้ำหรือดินเค็มจากผลกระทบการทำเหมือง หรือสายพันธ์ุสัตว์น้ำหายไปจากระบบนิเวศเนื่องจากการรุกล้ำของสายพันธ์ุต่างถิ่น

ดังนั้นจึงต้องมีการวางกลไกป้องกัน ตรวจสอบ และเยียวยาอย่างรัดกุม เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมโดยภาครัฐและธุรกิจเป็นไปอย่างรอบคอบ และใส่ใจบริบทแวดล้อม ตรวจสอบอย่างโปรงใส ไม่มีประโยชน์ทับซ้อน และมีแนวทางการเยียวยาครอบคลุม รวมถึงการปกป้อง

ประเด็นดังกล่าวถูกตอกย้ำอีกครั้งเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 โดย 7 องค์กรสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม (Accountability Counsel, Amnesty International Thailand, Greenpeace Thailand, EnLaw, Community Resource Centre Foundation, และInternational Commission of Jurists) ร่วมกับภาคประชาชน 40 คนจาก 10 ประเทศทั่วประเทศ นำเสนอสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชน 

เครือข่ายภาคประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล แสดงเจตจำนงทางการเมืองให้ชัดเจน และจริงจังแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน และมีข้อเรียกร้องร่วมกัน 7 ข้อดังนี้

  1. ภาครัฐ (EIA/EHIA) ต้องทำให้การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพโดยองค์กรอิสระ “เป็นกลาง” และ “ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน” มีการประเมินผลกระทบ รอบด้าน และมีบทลงโทษชัดเจน
  2. รัฐต้องเปิดข้อมูลอย่างโปร่งใส ต้องรับฟังความคิดเห็น
  3. ธนาคาร-นักลงทุน ต้อวรับผิดชอบต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมนุษยชน ต้องตรวจสอบและติดตามต่อเนื่อง และต้องเปิดเผยข้อมูลการให้สินเชื่อ
  4. ธุรกิจต้องจัดกองทุนกลางเยียวยาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลัก “ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย” เพื่อให้ได้เยียวยาจริง ผู้รับผลกระทบเข้าถึงได้โดยไม่ต้องพิสูจน์ความเสียหาย
  5. รัฐต้องยกเลิกนโยบายลดทอนการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม-สิทธิมนุษยชน เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คำสั่งคสช. ที่ 4/2559 และยกเลิกนโยบายการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจที่ไม่สอดคล้องหลักสิทธิมนุษยชน
  6. รัฐบาลต้องออกกฏฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน มีกองทุนคุ้มครอง และเจ้าหน้าที่รัฐต้องเข้าใจบทบาทนักสิทธิฯ
  7. รัฐต้องมีกลไกตรวจสอบห่วงโซ่คุณค่าย้อนกลับ ต้องให้บริษัทแม่-บริษัทในเครือรับผิดชอบผลกระทบทั้งในและต่างประเทศ มีความร่วมมือระดับภูมิภาค

เครือข่ายยังเน้นย้ำอีกว่า จะต้องมีการยุติการใช้คดีเชิงกลยุทธ์ (SLAPPs) คุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในการมีส่วนร่วมในการบวนการตัดสินใจ และปรับปรุงกฎหมายสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล 

สถานการณ์สิ่งแวดล้อม-สิทธิมนุษยชนน่าติดตาม

หัวข้อที่ชุมชนสะท้อนคือ ชุมชนไม่สามารถกำหนดเจตจำนงและแนวทางพัฒนาพื้นที่ของตนได้ และกระบวนการตัดสินใจขาดความโปร่งใส และการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม 

ตัวอย่างหนึ่งคือ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ชุมชนและหน่วยงานดเ้านสิ่งแวดล้อมสะท้อนต่อเนื่องเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เริ่มจากการวางผังเมืองที่เปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรมเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม ไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิต เนื่องจากผังเมืองถูกออกแบบโดยขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน

ที่น่าจับตาคือ SEC หรือเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ที่ประชาชนกังวลว่าจะซ้ำรอย EEC หรือไม่ เนื่องจากร่างพ.ร.บ. ที่ดูเหมือนจะมองข้ามบริบทวิถีชีวิตคนภาคใต้ เนื่องจากรากฐานวิถีชีวิตของคนใน 4 จังหวัด (ชุมพร, ระนอง, สุราษฎร์ธานี, และนครศรีธรรมราช) วางอยู่บนพื้นฐานการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว

การมองข้ามบริบทชุมชนและยัดความเป็นอุตสาหกรรมเข้าไป รวมกับการวางผังเมืองที่ไม่ดีพอทำให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมตามมา ตัวอย่างที่เกิดขึ้นใน EEC เช่น การลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม น้ำเสีย เกิดน้ำมันรั่วไหลที่จังหวัดระยองและชลบุรี ส่งผลต่อระบบนิเวศชายฝั่งทะเล เป็นต้น และในด้านชุมชน ก็มีการตั้งคำถามว่า เขตเศรษฐกิจนี้มีผลยกระดับอำนาจเศรษฐกิจคนในพื้นที่ เปลี่ยนคนในชุมชนเป็นแรงงานราคาถูกให้นักลงทุนกันแน่

นอกจากนี้ ยังมีการสะท้อนถึงการขาดความโปร่งใสในกระบวนการประเมินผลกระทบ ตัวอย่างที่มีการพูดถึงไม่นานมานี้คือ กรณีเหมืองแร่โปแตช ที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งชุมชน อาทิ กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดสะท้อนว่าส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำทะลักอุโมงค์ ทำให้ดินเค็ม น้ำเค็ม ไร่นาเสียหาย บ้านทรุดโทรม และสะท้อนว่า การดำเนินงานของบริษัทไทยคาลิฯ ไม่เป็นไปตามมาตรการของ EIA เช่น การเปลี่ยนแผนผังเหมือง หรือใช้วัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต ด้านการตรวจสอบ กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดสะท้อนว่า คณะการทำงานตรวจสอบ ไม่มีการแจ้งข้อมูลให้ชุมชนรับรู้ ขาดความเป็นธรรม

กรีนพีซ ประเทศไทยสะท้อนปัญหานี้เอาไว้ว่า เป็นเพียงพิธีกรรมของหน่วยงานรัฐเท่านั้น

“กระบวนการประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ กลายเป็นเพียงพิธีกรรมโดยหน่วยงานรัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่เป็นเพียงตรายาง นโยบายรัฐกลับเอื้อประโยชน์ให้กับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมผ่านการประกาศจัดตั้งพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ในขณะที่ประชาชนต้องแบกรับผลกระทบทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และวิถีชีวิต  ปัญหาการคุกคามนักปกป้องสิทธิและการฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP)”

นั่นนำมาสู่สถานการณ์ที่ 3 คือ การปิดปากสื่อหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจทำได้ผ่านการฟ้องเชิงกลยุทธ์ ที่เรียกว่า SLAPP ตัวอย่างเช่น กรณี มูลนิธิชีววิถี กรณีจัดงานเสวนาวิชาการเรื่องการชดเชยค่าเสียหายและฟื้นฟูระบบนิเวศจากการรุกล้ำของเอเลียนสปีชีส์ หรือการปิดปากผ่านการข่มขู่คุกคาม เช่น กรณี จร เนาวโอภาส และ สุเมธ เหรียญพงษ์นาม แกนนำเครือข่ายชุมชนที่เรียกร้องให้ตรวจสอบผลกระทบขยะและมลพิษอุตสาหกรรมจากเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หลังมีการเตือนว่ามีการจัดหามือปืนเพื่อฆ่าคุณสุเมธ 

2 กรณีที่กล่าวไปเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2568 ทั้งสิ้น และยังมีอีกหลายกรณีที่นักสิทธิ สื่อ และคนที่เกี่ยวข้องถูกคุกคาม ทำให้การมีส่วนร่วมของชุมชนไม่ได้เป็นไปอย่างเสรี


ที่มา: กรีนพีซ ประเทศไทย

แชร์
7 องค์กรร้องรัฐบาลอนุทิน ต้องจริงจังแก้ไขปัญหาธุรกิจละเมิดสิทธิมนุษยชน