
ปฏิเสธไม่ได้ว่า นักลงทุนทั้งไทยและเทศมีคำถามมากมายต่อตลาดหุ้นไทยที่ผลงานรั้งท้ายตลาดโลกมาสองสามปี และมีหุ้นเข้าจดทะเบียนเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) น้อยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ อีกทั้งเรื่องหุ้น IPO เมื่อเข้าเทรดแล้วราคามักจะต่ำกว่าราคาจอง เป็นเพราะตั้งราคาเสนอขายสูงเกินจริงไปหรือไม่
ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 สรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่เข้ามารับตำแหน่งนี้เมื่อเดือนสิงหาคม ได้พบปะสื่อมวลชนและตอบคำถามที่หลายคนสงสัย
ก่อนจะไปตอบคำถาม สรวิศบอกเป้าหมายการทำงานในตำแหน่งนี้ว่า ตั้งเป้าที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทย (SET และ mai) มีความสามารถในการแข่งขันกับตลาดในต่างประเทศมากขึ้น ทั้งในแง่การดึงดูดกระแสเงินลงทุนที่ตั้งเป้าจะทำให้นักลงทุนอยากซื้อหุ้นไทย และในแง่การดึงดูดบริษัทที่ต้องการระดมทุนให้เลือกจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำแผนปฏิบัติการ (action plan) เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย
สำหรับเรื่องที่ตลาดหุ้นไทยมีจำนวนหุ้น IPO น้อยนั้น สรวิศ ไกรฤษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ และสายงานการตลาด ตลท. ยอมรับว่า “เป็นเทรนด์ที่น่ากังวล” และให้ข้อมูลว่า หุ้น IPO ในตลาดหุ้นไทยลดลงมาหลายปีแล้ว เมื่อสามปีก่อนหน้านี้มีมูลค่าเสนอขายรวม 45,000 ล้านบาท ปีนี้ทั้ง SET และ mai มีจำนวน 17 ตัว มูลค่าเสนอขายรวม 12,000 ล้านบาท
ถึงอย่างนั้นก็ตาม สรวิศบอกว่า ปีนี้ไม่ใช่ปีที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทย เพราะในอดีตเคยมีช่วงที่จำนวน IPO น้อยมากจนแทบไม่มีเลย คือช่วงปี 2540-2543 หรือช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง
สรวิศให้ข้อมูลอีกว่า IPO ในตลาดหุ้นไทยเริ่มสูงในปี 2558 เป็นต้นมา โดยมีมูลค่าเสนอขาย 100,000 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 150,000 ล้านบาทในช่วงปี 2559 ถึงช่วงโควิด-19 ก่อนจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงสามปีที่ผ่านมา
ส่วนเหตุผลที่หุ้น IPO ลดน้อยลงนั้น สรวิศอธิบายว่า จำนวนหุ้น IPO เชื่อมโยงกันกับภาวะตลาดโดยรวม ถ้าตลาดอยู่ในขาขึ้นมีปริมาณ (volume) การซื้อขายสูง บริษัทจะอยากเข้าระดมทุน เพราะประเมินว่าในภาวะตลาดเช่นนั้นจะสามารถระดมเงินได้ตามเป้าและนำเงินไปลงทุนได้ตามแผน แต่ในช่วงสองปีล่าสุด สภาพตลาดโดยรวมไม่ค่อยคึกคัก จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อจำนวนและมูลค่า IPO
“หลายบริษัทตั้งเป้าที่จะ IPO โดยคาดการณ์มูลค่าการกระดมทุนจากดัชนีเมื่อสามสี่ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงมีการพับแผนการจดทะเบียนระดมทุน เพราะเงินที่จะระดมทุนได้ในปัจจุบันไม่อยู่ในระดับที่คาดหวังไว้”
อย่างไรก็ตาม สรวิศมองว่าในปีหน้าน่าจะมีหุ้น IPO มากขึ้น เห็นได้จากบรรยากาศที่คึกคักในช่วงหลังของปีนี้ ที่มีหุ้น IPO เข้ามา 12 ตัวจากทั้งหมด 17 ตัวในปีนี้
จากข้อเท็จจริงที่ว่า หุ้น IPO ในตลาดหุ้นไทยมักจะราคาต่ำกว่าราคาเสนอขายหรือราคาจองซื้อ ซึ่งจาก 17 ตัวในปีนี้ ราคาปิดวันแรกของการซื้อขายต่ำจองไปแล้วประมาณ 50% จึงทำให้เกิดคำถามว่า เป็นเพราะตั้งราคาเสนอขายสูงเกินไปหรือไม่ ?
ในประเด็นนี้ สรวิศยืนยันว่า การตั้งราคา IPO ในตลาดหุ้นไทยเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยอธิบายว่า การตั้งราคา IPO ตามมาตรฐานสากลมีสองวิธี ประกอบด้วย
สรวิศบอกว่า วิธี Book Building นั้น จะทำได้เฉพาะบริษัทที่มขนาดใหญ่พอที่จะเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน ซึ่งในปี 2568 นี้ มีจำนวนสองบริษัท ถึงอย่างนั้นก็ตาม สรวิศกล่าวว่า ไม่ได้บอกว่าวิธีใดดีกว่ากัน ทั้งสองวิธีล้วนเป็นไปตามมาตรฐานสากล และออกมาเป็นราคาที่เหมาะสม และสรวิศยืนยันว่า การที่ราคาหุ้นต่ำจองนั้นไม่ใช่เพราะตั้งราคาแพง
เมื่อกำหนดราคามาอย่างเหมาะสมแล้วทำไมราคาลดลงต่ำกว่าราคาจอง?
สรวิศอธิบายว่า ราคาในตลาดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ต้องดูปัจจัยประกอบอื่นๆ อีกหลายเรื่อง เช่น การกระจายหุ้น สัดส่วนการขายให้นักลงทุนสถาบันกับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งมีพฤติกรรมการขายไม่เหมือนกัน นักลงทุนรายย่อยมีความอ่อนไหวต่อราคาและอารมณ์ตลาดสูง จะมีการขายออกเร็วกว่านักลงทุนสถาบัน ขณะเดียวกัน ต้องดูประกอบกับเซนติเมนต์โดยรวมในตลาด หาก IPO ในช่วงที่มีแรงขายมาก ไม่มีแรงซื้อ ก็มีแนวโน้มที่ราคาจะลดลงต่ำกว่าราคาจอง
สรวิศบอกด้วยว่า หุ้น 12 ตัวที่เข้าตลาดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีเพียง 2 ตัวเท่านั้นที่มีสัดส่วนการเสนอขายให้นักลงทุนสถาบันค่อนข้างสูง ขณะที่ส่วนใหญ่เป็นการขายให้นักลงทุนรายย่อย
จากพฤติกรรมการขายหุ้น IPO ในวันแรก สะท้อนว่าโจทย์หนึ่งของตลาดหลักทรัพย์คือการหาทางเปลี่ยนพฤติกรรมนักลงทุนไม่ให้เน้นเก็งกำไรระยะสั้น ซึ่งรองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์บอกว่า ตลาดหลักทรัพย์ต้องร่วมมือกับสมาคมต่างๆ ในการพยายามสร้างความเข้าใจให้นักลงทุนว่า การลงทุน IPO ไม่ควรหวังผลกำไรข้ามคืน ไม่ควรหวังผลกำไรระยะสั้น แต่ต้องศึกษารายละเอียดและวิเคราะห์ว่าธุรกิจและผลการดำเนินงานของบริษัท
ส่วนคำถามเรื่องคุณภาพบริษัทจดทะเบียนและเรื่องการคัดกรองบริษัทที่เข้าตลาด สรวิศกล่าวว่า มีการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดอยู่แล้ว ไม่หย่อนกว่ามาตรฐานสากล ทั้งในด้านตัวเลขผลประกอบการที่กำหนดโดยตลาดหลักทรัพย์ และในเชิงคุณภาพที่กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถึงขั้นมีเสียงสะท้อนจากบริษัทว่าเข้าตลาดยาก
รองผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ และสายงานการตลาด ตลท.ยืนยันว่า คุณภาพของบริษัทผ่านการกลั่นกรองมาแล้วว่าเป็นบริษัทที่คุณภาพดี