Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ธุรกรรมดิจิทัลช่วยตลาดทุน ตลท.เชียร์รัฐเร่ง Digital ID เพิ่มมูลค่า ศก.
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ธุรกรรมดิจิทัลช่วยตลาดทุน ตลท.เชียร์รัฐเร่ง Digital ID เพิ่มมูลค่า ศก.

17 ธ.ค. 68
19:13 น.
แชร์

ท่ามกลางความท้าทายด้านความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นไทย ข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจและกฎระเบียบ ซึ่งล้วนแต่ส่งผลต่อเพอร์ฟอร์แมนซ์ของตลาดหุ้นไทย

งานเสวนาวิชาการระดับชาติ “ความน่าเชื่อถือตามกฎหมายของธุรกรรมดิจิทัล: ทางข้างหน้าของเทคโนโลยีกับกฎหมาย” ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 ชี้ว่า การใช้งานดิจิทัลไอดี (Digital ID) และการลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและช่วยยกระดับตลาดหุ้นไทยได้ 

ขณะเดียวกัน งานนี้ยังฉายให้เห็นภาพในภาพใหญ่ว่า หากภาครัฐเร่งยกระดับการนำดิจิทัลไอดีมาใช้ จะช่วยเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจได้ราว 3.5%-13% 

ดิจิทัลไอดี-ดิจิทัลซิกเนเจอร์ ช่วยตลาดหุ้น-หนุนเศรษฐกิจไทย 

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรุพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “เทคโนโลยีและความน่าเชื่อถือในการทําธุรกรรมดิจิทัลเพื่อส่งเสริมตลาดทุน” ว่า ปัจจุบันตลาดทุนไทยกำลังเผชิญปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น (trust and confidence) การนำดิจิทัลไอดี (Digital ID) ลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้จะเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น 

ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯบอกว่า ปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฯมีการใช้งานธุรกรรมดิจิทัลและกำหนด-ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนใช้งานแล้ว เช่น ส่งเสริมให้ทำรายงานประจำปีแบบดิจิทัลแทนการพิมพ์เป็นเล่มกระดาษ แต่ยังต้องขยายการใช้งานต่อไป พร้อมชี้ว่าเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในระดับสูง หากภาครัฐและตลาดทุนเดินหน้าอย่างจริงจัง 

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ยกตัวเลขจากการศึกษาของ McKinsey & Company (แมคคินซีย์ แอนด์ คอมพานี) บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกมาฉายให้เห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของดิจิทัลไอดีและดิจิทัลซิกเนเจอร์ว่า หากไทยเดินหน้าอย่างจริงจัง มีอัตราการนำดิจิทัลไอดีและดิจิทัลซิกเนเจอร์ไปใช้สูงถึง 70% ของประชากรภายในปี 2573 ดิจิทัลไอดีและดิจิทัลซิกเนเจอร์จะมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจราว 3.5%-13% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หรืออย่างน้อย 357,000 ล้านบาท และอาจสูงสุดได้ราว 1.58 ล้านล้านบาท

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์กล่าวอีกว่า ไทยอยู่ระหว่างการทำกิโยตินกฎหมาย ซึ่งมุ่งลดขั้นตอนและยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น หากทำกิโยตินกฎหมายแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่ม GDP ได้อย่างน้อย 1.7% ทั้งนี้ องค์ประกอบหนึ่งของการทำกิโยตินกฎหมายเพื่อเพิ่มความสะดวกต่อการทำธุรกรรมและการประกอบธุรกิจ คือ การใช้ระบบดิจิทัลในกระบวนการขออนุญาต การยื่นเอกสาร และการยกเลิกการรับรองสำเนาถูกต้องบนเอกสารกระดาษจำนวนมาก ซึ่งบางส่วนเริ่มดำเนินการแล้ว แต่ยังต้องขยายการดำเนินการต่อไป  

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ยกตัวอย่างปัญหาการใช้เอกสารกระดาษในระบบราชการ เช่น การขอใบอนุญาตทำงานของพนักงานที่ต้องใช้เอกสารจำนวนมากและต้องเซ็นรับรองทั้งหมด พร้อมทั้งตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของระบบตรวจสอบ และเอกสารกระดาษจำนวนมากนั้นไม่ถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง 

ดิจิทัลไอดี-ดิจิทัลซิกเนเจอร์ ช่วยบริษัทลดต้นทุนปีละสิบล้านถึงพันล้าน

ในบริบทของตลาดทุน ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์อธิบายว่า การใช้งานดิจิทัลไอดีและดิจิทัลซิกเนเจอร์จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทจดทะเบียนและตลาดทุน 5 ด้านหลัก ๆ คือ (1) ลดต้นทุนเอกสารลดปริมาณกระดาษและต้นทุนการจัดเก็บ (2) เพิ่มความเร็วธุรกรรม (3) ปฏิบัติตามกฎระเบียบระบบ Audit Trail ที่สมบูรณ์และตรวจสอบได้ (4) KYC ที่มีประสิทธิภาพลดเวลาการรับลูกค้าใหม่ ยืนยันตัวตนได้ทันที (5) ลดความเสี่ยงการทุจริตด้วยการยืนยันตัวตนที่แม่นยำและปลอดภัย

สำหรับบริษัทจดทะเบียน ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ให้ข้อมูลอีกว่า การนำดิจิทัลไอดีและดิจิทัลซิกเนเจอร์ มาใช้จะสร้างประโยชน์เชิงต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ โดยอ้างอิงตัวเลขของ McKinsey & Company ที่ระบุว่า บริษัทขนาดเล็กจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 17.5 ล้านบาท-52.5 ล้านบาทต่อปี บริษัทขนาดกลางจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 87.5 ล้านบาท-350 ล้านบาทต่อปี และบริษัทขนาดใหญ่อาจประหยัดได้ถึง 525 ล้านบาท-1,750 ล้านบาทต่อปี ซึ่งตัวเลขดังกล่าว ยังไม่รวมต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติที่ลดลงจากการลดการใช้กระดาษ 

ทั้งนี้ McKinsey & Company ระบุ 6 กรณีการใช้งานหลัก (use case) ของดิจิทัลไอดี ได้แก่

  • การพิสูจน์ตัวตนทางกายภาพเมื่อเปิดบัญชี
  • การพิสูจน์ตัวตนทางดิจิทัลในการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านออนไลน์โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำ
  • การลงทะเบียนรับสิทธิประโยชน์ เช่น เงินปันผล หรือสิทธิ์จองซื้อหุ้น
  • การทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น โอนเงินซื้อขายหลักทรัพย์ และรับชำระเงินปันผล
  • การเข้าถึงบริการดิจิทัล เช่น ดูข้อมูลบัญชี และรับข่าวสารการลงทุนอย่างปลอดภัย
  • การแบ่งปันข้อมูลระหว่างบริษัทหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานกำกับดูแล

ดิจิทัลไอดีเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ Win ทุกฝ่าย 

ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมองว่า การพัฒนาระบบดิจิทัลและการใช้งานดิจิทัลไอดีต้องเชื่อมโยงกับแนวคิด open data และการแชร์ข้อมูลภาครัฐ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจและระบบภาษีโปร่งใสมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อประชาชนและภาครัฐ

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า ข้อเสนอโครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล หรือ Thailand Individual Saving Account (TISA) เป็นตัวอย่างของการใช้ดิจิทัลไอดีและระบบเชื่อมโยงการใช้สิทธิ์การลงทุน โดยมีหลักการที่ให้ซื้อหุ้นและได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งในระบบ TISA จะมีการกำกับดูแลการซื้อผลิตภัณฑ์การลงทุนและเก็บหลักฐานในบัญชีเดียว ทำให้รับผลประโยชน์สิทธิทางภาษี ได้ในที่เดียว ไม่ต้องรวบรวมเองจากหลายทาง 

นอกจากนั้นยังยกตัวอย่างกรณีการจัดการทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตด้วยว่า หลาย ๆ ครอบครัวต้องเผชิญปัญหา คือ ไม่ทราบว่าผู้เสียชีวิตมีการลงทุนหรือทำประกันอะไรไว้บ้าง ทำให้ยากในการรวบรวมทรัพย์สินและสิทธิประโยชน์ หากมีระบบที่เชื่อมโยงรวมศูนย์ไว้ จะช่วยให้ไม่เกิดปัญหาในการรวบรวมข้อมูลสิทธิประโยชน์ 

สำหรับภาครัฐ จะได้ประโยชน์ในด้านการจัดเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ชี้ให้เห็นปัญหาในการจัดเก็บภาษีด้วยว่า รายได้จากการเก็บภาษีนิติบุคคลกว่า 33% มาจากบริษัทเพียง 800 กว่าบริษัทที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งที่ประเทศไทยมีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทกับกระทรวงพาณิชย์เกือบ 900,000 บริษัท สะท้อนปัญหาของระบบภาษีไทยอย่างชัดเจน ดังนั้น จึงต้องใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการแก้ pain point เหล่านี้ 

นอกจากนั้น ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯบอกอีกว่า ช่วงเวลานี้ที่ประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้ง เป็นโอกาสสำคัญในการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ จึงหวังว่าจะเห็นการนำเสนอโซลูชันด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้พรรคการเมืองนำไปจัดทำนโยบายเพื่อเพิ่มพูนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป 

ตลาดหลักทรัพย์ฯนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างไรบ้าง 

สำหรับบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มส่งเสริมตลาดทุนนั้น รองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมายและบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยในการเสวนาประเด็นเทคโนโลยีและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมดิจิทัลว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯมีบริการด้านนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านตลาดทุน ให้บริการผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุน (Stakeholders) ทั้งบริษัทจดทะเบียน บริษัทสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้ลงทุน 

รองรักษ์ยกตัวอย่างบริการ เช่น FundConnext – เป็นบริการระบบงานกลางในการรับ-ส่งข้อมูลการซื้อ ขาย และดารชำระราคากองทุนรวม, Onboarding – แพลตฟอร์มสำหรับพิสูจน์และยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล, e-Meeting Platform – บริการระบบจัดการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์สำหรับประชุมผู้ถือหุ้นหรือประชุมสมาชิก, e-Stamp Duty – บริการชำระอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์ และ Payment for Capital Market – บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินในตลาดทุน 

แชร์
ธุรกรรมดิจิทัลช่วยตลาดทุน ตลท.เชียร์รัฐเร่ง Digital ID เพิ่มมูลค่า ศก.