
กรณีขบวนการมิจฉาชีพที่หลอกลวงเหยื่อผ่านทางโทรศัพท์หรือออนไลน์ (สแกมเมอร์) และทุนเทาที่เชื่อมโยงกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นหนึ่งปัจจัยที่กระทบภาพลักษณ์และบั่นทอนความน่าสนใจของตลาดทุนไทยในช่วงที่ผ่านมา
ล่าสุด เมื่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ยึดและอายัดทรัพย์คดีที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเครือข่ายผู้กระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในขบวนการสแกมเมอร์ ในวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ซึ่งทรัพย์ที่ถูกยึดและอายัดนั้นรวมถึงหุ้น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ฝั่งตลาดทุน คือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต่างออกมาส่งสัญญาณว่ายินดีให้ความร่วมมือสนับสนุนข้อมูลและตรวจสอบตามอำนาจที่องค์กรมี
ในวันที่ 4 ธันวาคม 2568 อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยอมรับว่า แม้ว่าตลาดหุ้นไทยมีบริษัทจดทะเบียนมากกว่า 800 บริษัท แต่กรณีเทา ๆ เพียงไม่กี่กรณีที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น บั่นทอนและสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของตลาดทุนไทยมาตลอด ดังนั้น จึงดีใจที่ได้เห็นการดำเนินการของภาครัฐ ซึ่งการอายัดหุ้นนับเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบสวนสอบสวน และหวังว่าภาครัฐจะดำเนินการให้คืบหน้าอย่างรวดเร็วและแถลงความชัดเจนเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
“ดีใจที่เห็นมาตรการของภาครัฐที่ออกมาปกป้องตลาดทุนและประชาชนทั่วไป ถือว่าเป็นเรื่องน่าชื่นชม เราฟังข่าวมาตลอด และกังวลที่ข่าวเหล่านั้นกระทบต่อภาพพจน์ของตลาดทุนไทยมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวได้ส่งสัญญาณไปที่หน่วยงานรัฐว่า เราพร้อมที่จะสนับสนุนการสืบสวนสอบสวนและการดำเนินการทุกรูปแบบมาตลอด”
กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บอกอีกว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพร้อมที่จะสนับสนุนข้อมูลตามที่ภาครัฐขอ แต่ในกรณีเกี่ยวกับ 7 บจ.ที่เป็นข่าวอยู่ในช่วงนี้ ยังไม่มีหน่วยงานใดประสานขอข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์
อัสสเดชบอกว่า หน้าที่หลัก ๆ ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คือ การตรวจสอบธุรกรรม (transaction) ทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นในตลาดทุนว่าเป็นไปตามกฎเกณฑ์หรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมามีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะมีกรณีที่เป็นข่าวหรือไม่ โดยตรวจสอบธุรกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นประมาณวันละ 5-6 แสนธุรกรรม
กรรมการและผู้จัดการ ตลท.อธิบายว่า หากตรวจสอบแล้วพบพฤติกรรมที่ผิดปกติ จะสอบสวนต่อตามกฎของ ตลท. และหากได้ข้อสรุปว่ามีพฤติกรรมต้องห้าม จะมีการลงโทษตามกฎเกณฑ์ แต่ ณ วันนี้ จากการติดตามตรวจสอบ ยังไม่พบพฤติกรรมต้องห้ามภายใต้เกณฑ์ของ ตลท. ส่วนพฤติกรรมต้องห้ามตามกฎเกณฑ์ของหน่วยงานรัฐอื่น ๆ นั้น ตลท.พร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนในการห้ามไม่ให้เกิดพฤติกรรมต้องห้ามเหล่านั้นขึ้น
นอกจากนั้น กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าวถึงเรื่องความเหมาะสมของเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดทุนว่า มีกฎเกณฑ์และขอบเขตในการกำกับดูแลที่ชัดเจนอยู่แล้ว รวมถึงการที่บริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ ต้องตรวจสอบยืนยันตัวตนลูกค้า (KYC) อย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
ส่วนเรื่องความกังวลเกี่ยวกับกรณีหุ้น BCP ที่ถูก ปปง.อายัด ซึ่งมีการคำนวณว่าจะส่งผลให้สัดส่วนหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อขายได้ในตลาด (free float) ลดลงเหลือเพียงประมาณ 20% จากเดิม 50.6% ซึ่งเสี่ยงที่จะมีการเข้าซื้อรวบหุ้น BCP ที่เหลืออยู่ในตลาดในสัดส่วนที่น้อย
กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าหุ้นที่ถูกอายัดเป็นหุ้นในสัดส่วนใด แต่ไม่ใช่หุ้นที่มีการซื้อขายในตลาดอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว เบื้องต้น จากการติดตามปริมาณการซื้อขายหุ้น BCP พบว่าปริมาณการซื้อขายไม่เปลี่ยนแปลง จึงประเมินว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อ free float มากนัก และมองว่าไม่น่าจะเกิดการซื้อรวบหุ้น เพราะ ก.ล.ต.มีกฎ trigger point (กฎที่ต้องทำคำเสนอซื้อเมื่อถือหลักทรัพย์ถึงหรือข้ามจุดที่กำหนด) คอยป้องกันการรวบหุ้นผ่านตลาดอยู่แล้ว
“อย่างไรก็ตาม จะรับข้อคิดเห็นนี้ไปตรวจสอบ” กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าว
ด้านหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุน เอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวในวันที่ 3 ธันวาคม หลัง ปปง.ยึดและอายัดทรัพย์เครือข่ายผู้กระทำความผิดว่า ก.ล.ต. ได้ประสานส่งหนังสือถึง ปปง. เพื่อขอข้อมูลสำคัญที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานในด้านการตรวจสอบและกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย โดยข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการตามกรอบกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ก.ล.ต. ต่อไป
รองเลขาธิการและโฆษกกล่าวอีกว่า ก.ล.ต. มีการตรวจสอบขยายผลไปยังกรณีอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน โดยการดำเนินงานจะเป็นไปตามหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัด และพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการประสานงานกับผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เพื่อให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จหรือมีความคืบหน้าเพิ่มเติม จะเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป
ต่อมา ในวันที่ 4 ธันวาคม พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคณะ ได้เข้าหารือกับเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และคณะผู้บริหาร ปปง. เพื่อติดตามและประสานความร่วมมือเกี่ยวกับการยึดและอายัดทรัพย์เครือข่ายผู้กระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งทาง ปปง. ได้มอบข้อมูลเบื้องต้นตามที่ ก.ล.ต. ร้องขอ
นอกจากนี้ ทั้งสององค์กรมีการหารือเพื่อผลักดันการปรับปรุงกฎหมายและกฎเกณฑ์โดยเร็ว เพื่อยกระดับการมีเครื่องมือในการตรวจสอบการทำธุรกรรมและการตรวจสอบเส้นทางเงินผ่านผู้ประกอบธุรกิจที่ทำหน้าที่ตัวกลาง (travel rule) การตรวจสอบผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (ultimate-beneficiary) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการจัดโครงสร้างในเชิงธุรกิจที่ซับซ้อน และการสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรฐานการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (KYC/CDD) เพื่อประโยชน์ของ ก.ล.ต.ในการตรวจสอบการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการครอบงำกิจการ และ ปปง.ในการตรวจสอบความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน รวมทั้งเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพระหว่างทั้งสองหน่วยงาน