
โลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อสมดุลอำนาจของมหาอำนาจเปลี่ยนไป เศรษฐกิจโลกไม่เดินหน้าแบบไร้พรมแดนเช่นเดิม และความขัดแย้งขยายตัวเกินกว่าประเด็นการทหารหรือการค้า “ระเบียบโลกใหม่” กำลังปรากฏผ่านการย้ายฐานเงินลงทุน การกีดกันทางเทคโนโลยี การจัดกลุ่มพันธมิตรใหม่ และความผันผวนที่ส่งผลตั้งแต่ค่าเงินไปจนถึงการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน
ภายใต้ภาวะเช่นนี้ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวบนเวทีเสวนา “Driving in the Wave of Deglobalization แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจในกระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ” ภายในงาน SPOTLIGHT DAY 2025 ภายใต้ธีม “New World Order เศรษฐกิจไทยในระเบียบโลกใหม่” เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ว่า ทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนไทยจำเป็นต้องเร่งปรับมุมมองให้สอดรับกับโลกใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น พร้อมประเมินทั้งความเสี่ยงและโอกาสที่กำลังอยู่ตรงหน้าเศรษฐกิจและธุรกิจไทยอย่างรอบด้าน
ดร.กอบศักดิ์อธิบายว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุค “Competition of the Equals” ที่จีนและสหรัฐฯ ขยับมาแข่งขันกันในฐานะมหาอำนาจระดับใกล้เคียง ส่งผลให้การแข่งขันขยายตัวเป็นสงครามหลายมิติ ตั้งแต่การค้า เทคโนโลยี ไปจนถึงการเงินและภูมิรัฐศาสตร์ กระแสดังกล่าวทำให้เงินลงทุนทั่วโลกเริ่มเคลื่อนย้ายฐานการผลิตและมองหาจุดลงใหม่ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ถูกจับตามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ดร.กอบศักดิ์ ย้ำว่า โจทย์สำคัญของรัฐบาลไทยในระยะต่อไปจึงไม่ใช่เพียงการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ต้องเร่ง “ออกแบบประเทศไทย” ให้เป็นจุดหมายการลงทุนที่เชื่อมโยงกับโลกได้จริง ผ่านการลดอุปสรรคเชิงโครงสร้าง การปรับปรุงกฎหมาย และการยกระดับระบบราชการ เพื่อเปลี่ยนความสนใจของนักลงทุนให้กลายเป็นการลงทุนจริงในยุคระเบียบโลกใหม่
ดร.กอบศักดิ์แนะว่า การกำหนดทิศทางของรัฐบาลชุดใหม่ซึ่งคาดว่าจะเข้าบริหารประเทศในปีหน้า ตลอดจนการวางแผนของภาคเอกชนทุกภาคส่วน จำเป็นต้องเริ่มจากความเข้าใจต่อบริบทโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยชี้ว่า ภาคธุรกิจกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ และต้องเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ไม่ว่ารัฐบาลชุดใดจะเข้ามาบริหารประเทศก็ตาม เนื่องจากทั้งมุมมองของฝ่ายนโยบายระดับประเทศและองค์กรระหว่างประเทศอย่างธนาคารโลก สะท้อนตรงกันว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ “ระเบียบโลกใหม่” ซึ่งไม่ใช่เพียงแนวคิดเชิงทฤษฎีอีกต่อไป แต่เริ่มส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจและวิถีชีวิตประจำวันแล้ว
ดร.กอบศักดิ์อธิบายเพิ่มเติมว่า โครงสร้างอำนาจโลกในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยยกภาพผู้นำจีนและสหรัฐฯ ยืนเคียงกันบนเวทีการประชุมเอเปก เป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ยุคที่มหาอำนาจ “แข่งขันกันในฐานะผู้เล่นที่มีอำนาจใกล้เคียงกัน” หรือ Competition of the Equals จากเดิมที่สหรัฐฯ เคยมีสถานะเหนือกว่าจีนในหลายมิติ สู่ปัจจุบันที่จีนก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกัน ซึ่งสะท้อนว่าระบบโลกกำลังเข้าสู่ยุคของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์อย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้ ดร.กอบศักดิ์ชี้ว่า ความขัดแย้งในยุคใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสงครามทางการทหารหรือการค้า แต่เป็น “สงครามหลายมิติ” ที่ดำเนินไปพร้อมกันในหลายด้าน
นอกจากนี้ ดร.กอบศักดิ์ ยังกล่าวถึงท่าทีของสหรัฐฯ ที่หันกลับมาให้ความสำคัญกับอาเซียนมากขึ้น หลังจากห่างหายไปช่วงหนึ่งว่า สะท้อนความพยายามในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในบริบทโลกที่การแข่งขันทวีความรุนแรง และทุกประเทศต่างต้องกำหนดตำแหน่งของตนเองบนเวทีโลกให้ชัดเจน
ดร.กอบศักดิ์สรุปว่า ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคเอกชน ตั้งแต่ความผันผวนของค่าเงิน ราคาสินทรัพย์ ตลาดทุน ไปจนถึงต้นทุนการผลิตและกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยยอมรับว่าภาคการเงินเองก็เผชิญแรงกดดันไม่ต่างกัน พร้อมย้ำว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเรียนรู้ ปรับตัว และเตรียมพร้อมรับโลกใหม่ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น
ภายใต้สภาวะดังกล่าว ดร.กอบศักดิ์ ระบุว่า หากต้องกำหนด “3 นโยบายเร่งด่วน” ที่รัฐบาลใหม่ควรทำใน 100 วันแรก สิ่งสำคัญที่สุดคือทำอย่างไรให้ประเทศ “ถูกกระทบน้อยลง” จากความปั่นป่วนของโลก โดยใช้คำว่า “Insulation” เปรียบเทียบว่าไทยต้องสร้างเกราะป้องกันแรงกระแทกจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสงครามการค้า ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก หรือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ประเทศไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ พร้อมย้ำว่าในสถานการณ์โลกที่ผันผวนและสามารถสร้างผลกระทบต่างๆ ให้กับไทยได้ตลอดเวลา รัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการลดแรงปะทะจากภายนอกให้มากที่สุด
ประเด็นที่สอง คือ การ “สร้างอนาคตใหม่” ให้ประเทศ โดยมองว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป แต่มักซ่อนโอกาสเอาไว้ โดยเฉพาะในภาพรวมของอาเซียนซึ่งถูกมองว่าเป็นภูมิภาคที่ได้ประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกในรอบนี้ ขณะเดียวกันเงินลงทุนจากต่างประเทศก็เริ่มไหลเข้าสู่ไทยมากขึ้น ดร.กอบศักดิ์มองว่านี่คือจังหวะที่รัฐบาลต้องเร่ง “คว้าโอกาส” สร้างเซ็กเตอร์หรือภาคส่วนธุรกิจใหม่ ๆ และผลักดันอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อปักหมุดให้ไทยอยู่ในจุดที่ได้ประโยชน์จากคลื่นการเปลี่ยนแปลงรอบนี้ให้ได้มากที่สุด
ส่วนประเด็นสุดท้าย คือ การ “คลีนอัพภายใน” หรือการจัดการปัญหาในประเทศอย่างจริงจัง เพราะต่อให้มีโอกาสจากภายนอกมากเพียงใด หากโครงสร้างภายในอ่อนแอ ประเทศก็พร้อมจะสะดุดได้ตลอดเวลา ดร.กอบศักดิ์เปรียบเทียบสถานการณ์ว่า ในวันที่คลื่นลมแรง หากคนบนเรือยังทะเลาะกันเอง โอกาสที่เรือจะล่มยิ่งเพิ่มขึ้น พร้อมยอมรับตรงไปตรงมาว่าไทยยังมีปัญหาภายในสะสมจำนวนมาก และจำเป็นต้องเร่งสะสางเพื่อเสริมความแข็งแรงจากภายใน
ดร.กอบศักดิ์ยังเตือนว่า วิกฤตครั้งต่อไปที่กำลังจะมาถึงจะไม่ใช่วิกฤตธรรมดา แต่เป็น “Crisis of the Lifetime” ที่คนไทยทุกคนจะต้องเผชิญร่วมกัน และจะฝ่าฟันไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรวมพลังของประเทศ หากยังแก้ปัญหากันแบบแยกส่วน โอกาสล้มเหลวก็ยังมีสูง
ไทย “รั้งท้ายห้องเรียนอาเซียน” โตช้าสุดในภูมิภาค แต่ยังได้อานิสงส์ทำเลดึงทุนโลก
ด้านศักยภาพในการแข่งขันของไทยในปัจจุบัน ดร.กอบศักดิ์มองว่าตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงหลังสะท้อนชัดว่าไทยกำลังอยู่ในจุดที่ลำบากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในภูมิภาค ฟิลิปปินส์เติบโตราว 6% อินโดนีเซียและมาเลเซียประมาณ 5% เวียดนามราว 6.5% ขณะที่ไทยขยายตัวเพียงราว 1% เท่านั้น
ดร.กอบศักดิ์ ระบุว่า ในอดีตต่างชาติมองไทยเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของอาเซียน รองจากอินโดนีเซียที่ได้เปรียบด้านจำนวนประชากร แต่ปัจจุบันไทยร่วงมาเป็นอันดับสามแล้ว และในเชิงขนาดเศรษฐกิจ สิงคโปร์แซงหน้าไปเรียบร้อย ขณะที่ในอนาคตมีแนวโน้มแพ้ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และมาเลเซียด้วย สุดท้ายอันดับของไทยในอาเซียนอาจเหลืออยู่เหนือเพียงพม่าและ สปป.ลาว เมื่อเทียบกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน สะท้อนว่าไทย “รั้งท้ายของห้อง” แล้วในกลุ่มประเทศอาวุโสของภูมิภาค และแนวโน้มทั้งหมดนี้จะปรากฏชัดมากขึ้นในช่วง 5 ปีข้างหน้า
ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า ปัญหานี้ไม่ได้เพิ่งเกิด แต่มีสัญญาณเตือนมาระยะหนึ่ง เพียงแต่สังคมไทยไม่ทันเฉลียวใจและไม่เคยเอาจริงเอาจังกับการแก้ไข ตั้งแต่ความสามารถแข่งขันด้านการส่งออกข้าวที่ลดลง ทุเรียนที่ถูกประเทศคู่แข่งไล่ตีตื้น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่อ่อนแรงอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ถดถอย เปรียบเสมือน “ครอบครัวที่เคยร่ำรวย สินค้าเริ่มตกรุ่น บริษัทเริ่มขาดทุน และอาจขาดทุนย่อยยับในอนาคต” พร้อมย้ำว่าไทยยังพอมีเวลาอีกประมาณ 4-5 ปี หากเริ่มขยับตั้งแต่วันนี้ ยังมีโอกาสเปลี่ยนทิศทางประเทศได้ แต่หากนิ่งเฉย ปัญหาจะยิ่งสะสมและรุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะเริ่มอ่อนแรง ตัวเลขคำขอส่งเสริมการลงทุนของไทยยังคงสูง สวนทางกับภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา ในประเด็นนี้ ดร.กอบศักดิ์ อธิบายว่า ต้องแยกเป็นสองประเด็น คือ เหตุใดเศรษฐกิจปัจจุบันจึงแย่ และเหตุใดนักลงทุนต่างชาติยังอยากเข้ามาไทย ดร.กอบศักดิ์ มองว่าเศรษฐกิจที่แย่ลงเป็นผลจาก “บุญเก่าหมด แต่บุญใหม่ยังไม่มา” อุตสาหกรรมหลักอย่างรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ซึ่งสร้างมูลค่าส่งออกระดับ 3-4 แสนล้านบาทต่อปี เป็นแหล่งรายได้ภาษีและการจ้างงานจำนวนมาก กำลังเข้าสู่ขาลงอย่างรวดเร็ว ดีลเลอร์ของค่ายรถหลักอย่างนิสสัน อีซูซุ มิตซูบิชิ รวมถึงฮอนด้า เริ่มปิดกิจการหรือควบรวมสายการผลิต แม้กระแสรถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาแรง แต่ยังต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีกว่าจะเข้ามาทดแทนอุตสาหกรรมเดิมได้อย่างเต็มที่ ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้จึงเป็น “รอยต่อที่เจ็บปวด” ของเศรษฐกิจไทย
ส่วนเหตุที่นักลงทุนยังหลั่งไหลเข้ามา ไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทยโดยตรง แต่เป็นเพราะมองภาพใหญ่ของเอเชียว่ายังเติบโตได้ และถูกบริบทโลกบีบให้ต้องมองหา “จุดลงใหม่” ในเอเชีย เมื่อไปจีน รัสเซีย หรืออินเดียไม่ง่าย อาเซียนจึงกลายเป็นตัวเลือกหลัก และในบรรดาอาเซียน ประเทศที่ถูกมองว่าเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์และได้เปรียบด้านทำเลมากที่สุด คือประเทศไทย สองปัจจัยนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ต่างชาติเลือกไทย แม้จะรู้ดีว่าเงื่อนไขและกฎระเบียบจำนวนมากยังเป็นอุปสรรค
ดร.กอบศักดิ์มองว่า นักลงทุนเลือกเข้ามาลงทุนในไทยทั้งๆ ที่รับรู้ดีว่า กติกาไทยยังเต็มไปด้วยอุปสรรค ตั้งแต่เงื่อนไขการรายงานตัวของชาวต่างชาติ ไปจนถึงกฎหมายและขั้นตอนการดำเนินธุรกิจที่ซับซ้อน แต่ก็ยังยอมเข้ามา เพราะมองว่าหากจะปักหมุดธุรกิจในอาเซียน ไทยยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สุด อย่างไรก็ดี เมื่อเข้ามาแล้ว หลายโครงการกลับเดินหน้าไม่ได้จริง เพราะติดอุปสรรคเชิงโครงสร้าง ทั้งการจัดหาที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมที่ติดข้อจำกัดเรื่องคลอง ทางสาธารณะ และกฎหมายผังเมือง ปัญหาไฟฟ้า และการปิดกั้นภาคบริการบางสาขาไว้สูง ทำให้การลงทุนจำนวนมากไม่สามารถเกิดขึ้นได้ตามแผน
ดร.กอบศักดิ์ ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ในฐานะกรรมการบีโอไอว่า มีความพยายามผลักดันโครงการใหญ่เพื่อเปิดทางการลงทุน แต่ในทางปฏิบัติยังต้อง “ชนตอ” อีกหลายด่าน พร้อมยกกรณีเมื่อ 4-5 ปีก่อน ที่ไทยพยายามดึงการลงทุนด้านชิ้นส่วนอากาศยานเข้ามาในประเทศไทย เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมยานยนต์ ผู้ลงทุนต่างชาติเข้ามาศึกษาไทยและยอมรับว่าไทยมีองค์ประกอบพร้อม ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและแรงงาน แต่สุดท้ายต้องล้มแผน เพราะกฎหมายกำหนดให้คนไทยถือหุ้นอย่างน้อย 51% ซึ่งหมายความต้องมีการถ่ายโอนเทคโนโลยีหรือ Technology Transfer ให้กับชาวไทย และนักลงทุนต่างชาติไม่ยอมถ่ายทอดทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว
ดร.กอบศักดิ์ จึงมองว่า ประเทศไทยยังคงน่าสนใจในสายตาของต่างชาติ แต่ยังขาดระบบ กฎหมาย และโครงสร้างที่เอื้อให้ความสนใจนั้นแปลงเป็นการลงทุนจริง หากรัฐ “ปล่อยเขื่อน” ให้เงินลงทุนไหลเข้าอย่างเต็มที่ พร้อมแก้อุปสรรคเชิงโครงสร้าง ประเทศยังพอมีโอกาสฟื้นตัว แต่หากยังเดินไปตามเดิม โอกาสนั้นก็จะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
ดร.กอบศักดิ์อธิบายว่า เงินลงทุนจากต่างชาติที่กำลังหลั่งไหลเข้ามา ไม่ใช่เพียงผลของนโยบายเร่งด่วน แต่เป็นผลสะสมจากการทำงานด้านการส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปี โดยในอดีตไทยมีมูลค่าการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนปีละราว 5 แสนล้านบาท ก่อนเพิ่มขึ้นเป็นราว 8-8.5 แสนล้านบาทเมื่อสองปีก่อน ปีที่แล้วขยับเป็น 1.13 ล้านล้านบาท และปีนี้คาดว่าจะปิดยอดสูงถึงประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท
กระบวนการลงทุนโดยทั่วไป เริ่มจากนักลงทุนต่างชาติยื่นขอรับการส่งเสริมจาก BOI เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนจัดตั้งโรงงาน ขอใบอนุญาตก่อสร้าง ระบบสาธารณูปโภค น้ำ ไฟ และใบอนุญาตอื่น ๆ ซึ่งช่วงนี้เองที่มักเกิดความล่าช้าและคอขวดทางระบบราชการ โดยดร.กอบศักดิ์ระบุว่า ส่วนตัวไม่กังวลว่านักลงทุนจะถอนตัว แต่สิ่งที่น่าจับตาคือ “เร็วหรือช้าแค่ไหน” ที่ระบบไทยจะเปิดทางให้เงินลงทุนไหลเข้าได้จริง
ดร.กอบศักดิ์ชี้ว่า ภายใต้บริบทภูมิรัฐศาสตร์โลก เงินลงทุนกำลังเคลื่อนย้ายฐานออกจากประเทศเดิม และไทยกำลังเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญ โดยแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปอย่างน้อยอีก 2-3 ปีข้างหน้า “เงินไม่ได้จบแค่นี้” และไทยจึงต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับ
ดร.กอบศักดิ์เปรียบสถานการณ์ปัจจุบันว่า เหมือนปลากำลังไหลเข้าฝั่ง แต่ตาข่ายของไทยยังมีปัญหา หากระบบ Fast Pass ทำได้จริง ไทยจะจับเม็ดเงินได้มากขึ้น ทว่าในทางกลับกัน ปัจจุบันเริ่มเห็นปัญหาใหม่ เช่น ไฟฟ้าเริ่มไม่เพียงพอ หรือเกิดการแข่งขันแย่งใช้ทรัพยากร ซึ่งหากไม่ปลดล็อก จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดึงดูดโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์ และอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้พลังงานสูง
ทั้งนี้ ดร.กอบศักดิ์ประเมินเชิงสถิติว่า ในอดีต สัดส่วนโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วสามารถพัฒนาเป็นการลงทุนจริงอยู่ราว 70% กล่าวคือ หากฐานการอนุมัติอยู่ที่ 8 แสนล้านบาท เงินลงทุนจริงจะอยู่ราว 5 แสนล้านบาท และหากฐานขยับขึ้นเป็นเกือบ 2 ล้านล้านบาท ก็จะสะท้อนเม็ดเงินจริงระดับ “เกินหนึ่งล้านล้านบาท” ซึ่งยิ่งชี้ชัดว่า “ประสิทธิภาพ” ของระบบราชการจะเป็นตัวแปรสำคัญในการชี้ชะตาการเติบโตในระยะถัดไป
ดร.กอบศักดิ์เตือนว่า นักลงทุนต่างชาติ “มีทางเลือก” ต่อให้มีความเชื่อมั่นต่อไทยเพียงใด แต่หากกระบวนการล่าช้า ธุรกิจก็ไม่อาจรอได้ เพราะต้องแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดโลก ดร.กอบศักดิ์เปรียบเทียบว่า หากผู้ค้ารอไม่ได้เพราะอาคารยังสร้างไม่เสร็จ ก็ย่อมเลือกไปเปิดร้านในห้างอื่นแทน สถานการณ์ของไทยในวันนี้จึงไม่ใช่ “ไม่มีคนสนใจ” แต่คือ “ไม่ทันใจ” นักลงทุน
ดร.กอบศักดิ์เสนอว่า รัฐบาลต้อง “สตรีมไลน์” ระบบการอนุมัติให้เป็น One-stop service อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงในเชิงนโยบาย แต่ต้องลดการประสานงานซ้ำซ้อนระหว่าง BOI, EEC และหลายกระทรวง ที่ปัจจุบันนักลงทุนต้องวิ่งวนหลายหน่วยงาน และไม่มีระบบติดตามเชิงรุก เปรียบเทียบกับสิงคโปร์ที่ใช้โมเดล “ปูพรมแดง” ดูแลนักลงทุนตั้งแต่ต้นจนจบ ขณะที่ของไทยยังอยู่ในลักษณะ “ลงทะเบียนแล้วก็ไปจัดการต่อเอง”
ท้ายที่สุด ดร.กอบศักดิ์เตือนว่า หากไทยพลาดรอบการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ และคู่แข่งโดยเฉพาะเวียดนามได้เปรียบอย่างชัดเจน โรงงานเหล่านี้จะกลายเป็น “ยุทโธปกรณ์ทางเศรษฐกิจ” ในระยะยาว เพราะเมื่อลงทุนไปแล้วจะตั้งหลักยาวหลายสิบปี หากวันนี้เวียดนามได้สาม ไทยได้หนึ่ง ครั้งต่อไปอาจต้องรออีก 20 ปี และในมุมของภาคการเงิน นี่อาจหมายถึง “20 ปีที่ประเทศไทยต้องเสียโอกาส” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากยังไม่เร่งปฏิรูประบบรองรับการลงทุนอย่างจริงจังในวันนี้
นอกจากมาตรการด้านกฎระเบียบเพื่อดึงดูดการลงทุนแล้ว ดร.กอบศักดิ์ยังกล่าวถึงความคืบหน้าของนโยบาย “Regulatory Guillotine” ซึ่งมีเป้าหมายตัดกฎหมายล้าสมัยออกจากระบบ โดยระบุว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา มีการชำระกฎหมายไปแล้วราว 50% อย่างไรก็ดี ยังพบว่ากฎหมายบางฉบับยังคงถูกบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน เช่น พระราชบัญญัติเดินเรือในน่านน้ำสยาม พ.ศ. 2456 ซึ่งร่างขึ้นในยุคเรือสำเภาและเรือเอี้ยมจุ๊น แต่ยังถูกนำมาใช้ในบริบทโลกสมัยใหม่ที่เทคโนโลยีและรูปแบบการค้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า ปัญหาสำคัญไม่ใช่เพียงตัวบทกฎหมายที่ล้าสมัย หากแต่คือการ “ไม่เอาจริง” ในการแก้ไข ทั้งที่ทุกฝ่ายรับรู้ปัญหามานานแล้ว ในช่วงที่สถานการณ์ยังปกติ เศรษฐกิจอาจพอประคับประคองไปได้ แต่เมื่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจทวีความรุนแรง ประเทศเริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ต้นทุนจากการปล่อยปละละเลยจึงกลายเป็นภาระที่ไม่อาจแบกรับต่อไป พร้อมเปรียบเทียบว่า เมื่อเผชิญวิกฤตย่อมต้องบริหารแบบภาวะฉุกเฉิน เช่นเดียวกับระบบกฎหมายในปัจจุบันที่กฎ ระเบียบ และกฎกระทรวงจำนวนมากกำลังกลายเป็นพันธนาการ ฉุดรั้งทั้งภาคเอกชนและประเทศโดยรวมไม่ให้ก้าวต่อได้
สำหรับแนวทางแก้ไข ดร.กอบศักดิ์เสนอว่า ไม่ควรดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปทีละฉบับ แต่ต้องใช้วิธี “เหมาเข่ง” ด้วยการยกเลิกกฎหมายที่มีอายุเกิน 30 ปี หรือกฎหมายที่ตราขึ้นก่อน พ.ศ. 2500 แล้วร่างขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับบริบทโลกปัจจุบันโดยอัตโนมัติ เนื่องจากหากยังใช้วิธีขอความเห็นเป็นรายฉบับ กฎหมายจำนวนมากก็จะไม่ถูกยกเลิก เพราะแต่ละหน่วยงานมักมองว่ากฎหมายของตน “ยังจำเป็น”
นอกจากนี้ ดร.กอบศักดิ์ยังยกตัวอย่างกฎหมายที่สะท้อนความล้าหลัง เช่น กฎหมายเครื่องกระจายเสียงที่กำหนดว่าการพูดภาษาต่างประเทศผ่านลำโพงถือเป็นความผิด ซึ่งทำให้ประชาชนจำนวนมากอาจละเมิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อมีข้อเสนอให้ยกเลิก กลับถูกอธิบายด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดยอ้างบริบทสงครามเย็นเพื่อป้องกันสัญญาณจากต่างประเทศ ทั้งที่โลกได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง พร้อมย้ำว่า ประเทศไทยยังมี “เรื่องประหลาด” ในลักษณะนี้อยู่อีกมาก และจำเป็นต้องเร่งจัดการอย่างจริงจัง หากไม่ต้องการให้กฎหมายกลายเป็นอุปสรรคต่ออนาคตของประเทศเอง