
กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT จัดงานสัมมนาประจำปี SPOTLIGHT DAY 2025 ภายใต้แนวคิด “New World Order เศรษฐกิจไทยในระเบียบโลกใหม่” ณ ห้องประชุม 208 ชั้น 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยได้รับเกียรติจากผู้เข้าร่วมงานกว่า 200 ท่าน ทั้งจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาควิชาการ รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายอุตสาหกรรม ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์และแนวทางปฏิบัติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระเบียบโลกใหม่
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Thailand’s Moment: Igniting Economic Revival มั่นใจประเทศไทย พลิกฟื้นเศรษฐกิจ” ที่ให้ความสำคัญกับการปรับตัวภายใต้ระเบียบโลกใหม่ ซึ่งกรอบเวลาที่มีจำกัดทำให้รัฐบาลต้องทำให้เศรษฐกิจฟื้นขึ้นอย่างน้อยในระยะต้น พร้อมวางรากฐานระยะยาวไปพร้อมกัน จนนำไปสู่แนวคิด Quick Big Win ซึ่งเป็นกรอบการทำงานแบบเร่งด่วน แต่ต้องให้ผลยาวและยั่งยืน
ดร.เอกนิติ ระบุในตอนหนึ่งว่า “ภายใต้ระเบียบโลกใหม่ เมืองไทยยังมีโอกาส แต่ที่เราขาดคือการลงทุนจริง ๆ ในทรัพยากรมนุษย์ อุตสาหกรรมใหม่ และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เชื่อว่าอย่างน้อยใน 4 เดือนที่เรารับยอมความเป็นจริงและเตรียมพร้อมกระตุ้น หากเราเตรียมพร้อมและ Ignite (จุดประกาย) ขึ้นมาเชื่อว่าไตรมาสที่ 4 จะขึ้นมาได้ แต่เราต้องให้ได้ผลระยะยาว เพื่อวางรากฐานการลงทุนในอนาคต”
คุณเมลินดา กู้ด ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและประเทศเมียนมา ขึ้นกล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “From Risk to Resilience: World Bank’s Vision for Thailand and ASEAN ประเทศไทยกับการตั้งรับและปรับตัวกับความเสี่ยงของระเบียบโลกใหม่” ซึ่งให้มุมมองเกี่ยวกับภูมิทัศน์เศรษฐกิจของประเทศไทยและอาเซียนในห้วงเวลาที่โลกที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยเฉพาะภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทาน หรือแม้แต่ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ล้วนทำให้ทุกคนต้องตั้งรับและปรับตัวกับความเสี่ยงจากระเบียบโลกใหม่
“ประเทศไทยจะพึ่งพาแนวทางเดิมอย่างในอดีตไม่ได้อีก เราต้องแก้ปัญหาหลักอย่างความมั่นคงทางน้ำ การพัฒนาทักษะความสามารถ รวมถึงการพัฒนาเมืองและภูมิภาคอย่างกว้างขวาง หากต้องการบรรลุเป้าหมายในการก้าวเป็นประเทศรายได้สูง” คุณเมลินดา กล่าว
พร้อมกันนี้ ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและประเทศเมียนมา ยังกล่าวถึงสถานการณ์มหาอุทกภัยทางภาคใต้ที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ โดยระบุว่า “หากไทยอยากก้าวสู่ประเทศรายได้สูง จะต้องพัฒนาด้านความมั่นคงทางน้ำและจัดการน้ำท่วม เฉกเช่นการจัดการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ มิเช่นนั้น ห่วงโซ่อุปทานของเราจะเผชิญกับการหยุดชะงักซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผลผลิตทางการเกษตรของเราจะถดถอยลงทั้งคุณภาพและปริมาณ และที่สำคัญ นักลงทุนจะลังเล หากทรัพย์สินไม่ได้รับการปกป้อง”
ไฮไลต์ของงานสัมมนาในครั้งนี้คือ Executive Roundtable วงเสวนาเพื่อการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้หัวข้อ “Driving in the Wave of Deglobalization แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจในกระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ” โดยมี 4 ผู้บริหารองค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เข้าร่วมการแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ ได้แก่ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คุณบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ดำเนินรายการเสวนาโดย คุณสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส
ช่วงหนึ่งของการเสวนา ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เน้นย้ำว่ารัฐบาลควรมี National Agenda หรือวาระแห่งชาติที่ทุกรัฐบาลจะผลักดันต่อเนื่อง ไม่ใช่เปลี่ยนทิศทางนโยบายไปตามการเปลี่ยนรัฐบาล โดยมองว่ามีหลายเรื่องที่ควรบรรจุอยู่ในวาระแห่งชาติ เช่น การแก้ปัญหาคอร์รัปชัน การพัฒนาการศึกษา และการสร้างจิตสำนึกภาคประชาชน
“หากพรรคการเมืองยังเล่นการเมืองแบบไม่ใช้ National Agenda เป็นตัวตั้ง เปลี่ยนนโยบายไปตามการเปลี่ยนนายกฯ ชาติหน้าบ่ายห้าโมงประเทศไทยก็ไม่เกิด ต้องมี National Agenda ที่ใครมาเป็นรัฐบาลก็ต้องดำเนินนโยบายไปตามทิศทางเดียวกัน
“วันนี้ไทยเราเปราะบางมาก ผมพบต่างชาติเยอะ ต่างชาติเขามองเราไร้สมรรถภาพมาก เขามองเราเทียบกับเวียดนามแล้วมองว่าเวียดนามเก่งกว่าเราเยอะ ผมเหนื่อยใจมาก ผมเห็นเวียดนามตั้งแต่เปิดประเทศใหม่ ๆ เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว มาถึงวันนี้มีคนบอกว่าไทยแพ้เวียดนาม แพ้ทั้งเรื่องคน เรื่องการศึกษา เรื่องประชากร ผมว่าเราเหนื่อย ถ้าคนรุ่นเราไม่ผลักดันให้รัฐบาลและประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ผมว่าเราไปต่อลำบาก” ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าว
คุณบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร อธิบายที่มาของ “ระเบียบโลกใหม่” และกระแส “Deglobalization” ว่าปรากฏการณ์ทั้งสองไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน หากมีจุดเริ่มจากยุคโลกาภิวัตน์หลังสิ้นสุดสงครามเย็น เมื่อประเทศค่ายสังคมนิยมละทิ้งระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ หันเข้าสู่ระบบตลาด ทำให้โลกเชื่อมโยงกันมากขึ้นผ่านการค้า การลงทุน และห่วงโซ่อุปทาน จนนำไปสู่ช่วงขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะระหว่างปี 1985-2015 ที่ถือเป็นยุคโลกาภิวัตน์ “เบ่งบาน” สูงสุด
ในช่วงเวลาดังกล่าว เศรษฐกิจโลกเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 4.5-5 ต่อปี ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาขยายตัวได้เร็วกว่าประเทศพัฒนาแล้วมากกว่าสองเท่า จีนเคยเติบโตในระดับสองหลัก เวียดนามเร่งตัวอย่างรวดเร็วหลังเปิดประเทศ อย่างไรก็ดี คุณบรรยงชี้ว่า ไทยกลับได้ประโยชน์จากกระแสนี้เพียงช่วงแรก ระหว่างปี 1985-1997 ที่เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยราวร้อยละ 10 ต่อปี ก่อนอัตราการเติบโตจะลดลงต่อเนื่อง หลังปี 2000 ตลอดเวลากว่า 20 ปี ไทยมีเพียง 3 ปีที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก หนึ่งในนั้นยังเป็นปีที่ฟื้นตัวจากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ สะท้อนความผิดปกติทางโครงสร้างที่ฝังลึกภายในประเทศ
คุณบรรยงระบุว่า ต้นตอสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำอยู่ที่ “โครงสร้างเชิงสถาบัน” ที่อ่อนแอและไม่เอื้อต่อการพัฒนา โดยอ้างถึงแนวคิดเรื่อง Inclusive Institutions ซึ่งมองว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประเทศมีสถาบันที่เปิดกว้าง เป็นธรรม และเอื้อต่อการแข่งขันอย่างเสรี โดยในกรณีของไทย คุณบรรยงระบุว่าไทยมีปัญหาทั้งหมดใน 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ประชาธิปไตย (Democracy) คอร์รัปชัน (Corruption) เสรีภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Freedom) การศึกษา (Education) และนิติธรรม (Rule of Law) และชี้ว่าดัชนีในทุกด้านของไทยถดถอยลงพร้อมกันอย่างมีนัยสำคัญ
คุณบรรยงสรุปภาพรวมของปัญหานี้ว่า วันนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะ “ประชาธิปไตยไม่จริง สองชิงกันโกง ทางโล่งทุนใหญ่ ไม่ใฝ่การเรียน เซียนคุมศาล” สะท้อนว่าโครงสร้างทางการเมืองของไทยไม่สนับสนุนการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ขณะที่ปัญหาคอร์รัปชันยังฝังรากลึกและขยายตัว ผ่านระบบอุปถัมภ์และผลประโยชน์ทับซ้อน ด้านเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ระบบการแข่งขันยังเอื้อให้ทุนรายใหญ่ได้เปรียบ เหนือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้เล่นรายใหม่ ส่วนด้านการศึกษา ประเทศไทยยังไม่สามารถพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ได้ ขณะที่ในมิติของนิติธรรม ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นอิสระและความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย
คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG ร่วมวงเสวนา Executive Roundtable โดยช่วงหนึ่งของการเสวนาได้กล่าวถึงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในประเทศไทยว่า หากติดขัดอุปสรรคอะไร ภาคธุรกิจต้องบอกรัฐบาลตรง ๆ ต้องนำปัญหามาพูดกันตรง ๆ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา หากไม่พูดกันตรง ๆ จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และไม่สามารถปลดล็อกความสามารถในการแข่งขันได้
คุณธรรมศักดิ์เล่าว่า มีพันธมิตรธุรกิจของ SCG อยากลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ในประเทศไทย แต่ติดอุปสรรคกฎระเบียบต่าง ๆ ดังนั้น คุณธรรมศักดิ์จึงมองว่า ภาคเอกชนไทยเองต้องพยามช่วยสื่อสารกับภาครัฐเพื่อสร้างความเข้าใจว่าการลงทุนนั้นจะเกิดประโยชน์อย่างไร จะสร้างผลกระทบอย่างไร เพื่อให้การลงทุนเกิดขึ้น ซึ่งการลงทุนนั้นอาจจะเป็น New S-curve ของประเทศไทย เป็นฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในประเทศไทยลงทุนได้ด้วย
“ผมคิดว่าคำขอส่งเสริมการลงทุน 1.4 ล้านล้านที่อยากเข้ามาลงทุนในเมืองไทย ถ้าเราช่วยกันทำให้เป็น Fast Track ได้จริง ๆ นำปัญหาที่ติดขัดจริง ๆ มาวางบนโต๊ะ แล้วค่อย ๆ แก้ไข ถ้าแก้ได้หนึ่งก้าว ก็จะก้าวหน้าได้หนึ่งก้าว ถ้าแก้ได้สองก้าว ก็จะก้าวหน้าได้สองก้าว ถ้าแก้แล้วก็จะได้ประโยชน์กับทั้งระบบ … ผมคิดว่าปัญหามี แต่อย่าพึ่งถอดใจ ผมยังอยากให้กำลังใจว่ามีหลายคนที่อยากช่วยกันผลักดันให้ประเทศไทยก้าวไปต่อได้ เพียงแต่ต้องยอมรับว่ามีปัญหาก่อน แล้วพูดคุยกัน ช่วยกันแก้ปัญหา แล้วปัญหาที่แก้ได้ก็จะดีขึ้น” กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG กล่าว
ช่วงหนึ่งของการเสวนา Executive Roundtable ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในช่วงหนึ่งว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้านต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ทั้งในเชิงโครงสร้าง ภาคการผลิตและการส่งออกที่ชะลอตัว ปัญหาหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือน ตลอดจนแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศ อาทิ นโยบายภาษีของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน ที่เร่งให้เกิดกระแส Deglobalization และการเปลี่ยนผ่านสู่ระเบียบโลกใหม่ ซึ่งอาจทำให้ไทยตกอยู่ในภาวะต้องเลือกข้างทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในการนำพาประเทศก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ ดร.กอบศักดิ์ ระบุว่า หากต้องจัดลำดับความสำคัญเป็นสามเรื่อง เรื่องแรกที่รัฐบาลใหม่ต้องให้ความสำคัญ คือการสร้าง “เกราะป้องกัน” ให้เศรษฐกิจไทย เพื่อลดแรงกระแทกจากความผันผวนภายนอก โดยเฉพาะสงครามการค้าและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออก ค่าเงิน และตลาดการเงิน รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการรองรับอย่างจริงจังเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชนให้มากที่สุด
เรื่องที่สอง คือการสร้างอนาคตใหม่ให้ประเทศท่ามกลางวิกฤต โดยมองว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มีแต่ด้านลบ หากแต่ยังเปิดโอกาสสำคัญ โดยเฉพาะการไหลเข้าของเงินทุนสู่ไทยและอาเซียนจากความไม่แน่นอนในภูมิภาคอื่น รัฐบาลจึงต้องเร่งวางยุทธศาสตร์ดึงดูดการลงทุน พัฒนาอุตสาหกรรมและภาคเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเปลี่ยนวิกฤตโลกให้เป็นโอกาสในการยกระดับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ประเด็นสุดท้าย คือการเสริมความเข้มแข็งจากภายใน ด้วยการเร่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมายาวนาน ดร.กอบศักดิ์ ระบุว่า ประเทศไทยมีจุดอ่อนในหลายมิติ และหากไม่เร่ง “ทำความสะอาดภายใน” ความเปราะบางเหล่านี้จะยิ่งซ้ำเติมผลกระทบจากภายนอกให้รุนแรงขึ้น โดยเปรียบเทียบสถานการณ์ว่า เมื่อเผชิญคลื่นลมแรง หากภายในประเทศยังขาดความสามัคคี โอกาสที่ประเทศจะเสียหลักย่อมสูงขึ้น
ดร.กอบศักดิ์ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า วิกฤตที่ประเทศไทยกำลังจะได้เผชิญต่อไปนี้ไม่ใช่วิกฤตทั่วไป หากเป็น “Crisis of the Lifetime” หรือวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต ที่คนไทยต้องเผชิญร่วมกัน หากทุกภาคส่วนในประเทศไทยไม่สามารถรวมพลังและทำงานอย่างเป็นเอกภาพ ความเสี่ยงที่จะพลาดเป้าหมายย่อมสูงขึ้น ดังนั้น รัฐบาลใหม่ต้องเร่งดำเนินงานควบคู่กันทั้งการรับมือแรงกดดันจากภายนอก การสร้างโอกาสใหม่ และการฟื้นความแข็งแกร่งจากภายในประเทศ
ปิดท้ายงานสัมมนาด้วย SPOTLIGHT In-Depth วงเสวนาในหัวข้อ “Thailand's Position in the New World Order จุดยืนของไทยในวันโลกเปลี่ยนขั้ว” โดยมี ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร ASEAN FOUNDATION ดำเนินรายการเสวนาโดย คุณอังคนางค์ ใหม่มงคล บรรณาธิการบริหาร SPOTLIGHT และคุณภัทรี ภัทรโสภสกุล บรรณาธิการ SPOTLIGHT World
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้มุมมองว่า ปัจจุบัน ระเบียบโลกยังยากที่จะใช้คำว่าใหม่ได้ แต่ตอนนี้กำลังอยู่ในจุดที่เพิ่งแตกเป็นสิ่ง และอยู่ในช่วงเวลาของการ ‘เปลี่ยนผ่าน’ มากกว่า สำหรับประเทศไทย การที่จะค้นหาจุดยืนของตัวเองพบได้อย่างไรนั้น จะต้องมีการประเมินผลผลประโยชน์ที่มีร่วมกับแต่ละประเทศ รู้ศักยภาพและเป้าหมายของตน เราจึงจะพบจุดยืนเอง
ในช่วงท้ายของการเสวนา ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เน้นย้ำว่าทุกประเทศต้องปรับจุดยืนในวันที่ระเบียบโลกแบบเก่าใช้ไม่ได้อีกต่อไป “ทุกประเทศต้องปรับจุดยืนหมดเลย เพราะระเบียบโลกในตอนนี้มันไม่ได้เป็นระเบียบโลกแล้ว”
รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร ASEAN FOUNDATION กล่าวในวงเสวนา SPOTLIGHT In-Depth ว่าประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้ากว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน เมื่อเทียบในช่วงเวลาเดียวกัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายประการ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คือสัญญาณเตือนที่ทำให้ไทยต้องหันมาย้อนดูแนวทางของประเทศ
“ไทยมีเสน่ห์หลายเรื่อง คนอยากมาเที่ยว มาพักผ่อน แต่พอพูดถึงการลงทุน เขามองเวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ก่อน … ไทยกำลังกินบุญเก่า และบุญเก่าที่มีของเรากำลังจะหมด ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีโครงการใหญ่ที่จะทำให้เรามุ่งหน้าไปทิศทางเดียวกัน” ผู้อำนวยการบริหาร ASEAN FOUNDATION กล่าว
ในช่วงท้ายของวงเสวนา ดร.ปิติ ยังให้มุมมองอีกว่าประเทศไทยยังต้องอาศัยความร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน และที่สำคัญคือ ‘ผู้นำ’ ที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
การระดมความคิดในครั้งนี้สะท้อนว่าประเทศไทยไม่ได้แค่กำลังเผชิญวิกฤตในหลายมิติเท่านั้น แต่ยังเป็ง 'วิกฤตครั้งใหญ่ในชีวิต' เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่อ่อนแอ การเมืองที่ไม่มี National Agenda และไม่มีความต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้าและกำลังถูกอาเซียนแซงหน้า หากไม่เร่งแก้ไขในท้ายที่สุด