Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ธรรมศักดิ์ SCG แนะเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน-เร่งแก้อุปสรรคการลงทุน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ธรรมศักดิ์ SCG แนะเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน-เร่งแก้อุปสรรคการลงทุน

2 ธ.ค. 68
07:49 น.
แชร์

ขณะนี้เราอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลก จากโลกเชื่อมต่อกัน หรือโลกาภิวัตน์ (globalization) เป็นการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (deglobalization) หรือโลกที่แยกห่างจากกัน การค้าขายและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปแบบ ‘ไร้พรมแดน’ อีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็นการค้าขายและความร่วมมือแบบแบ่งกลุ่ม-แบ่งขั้ว ห่วงโซ่อุปทานถูกจัดวางใหม่ภายใต้เงื่อนไขทางภูมิรัฐศาสตร์ 

ภายใต้บริบทโลกดังกล่าวที่ทำให้ธุรกิจไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกและการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกอยู่ยากขึ้น ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ร่วมสะท้อนปัญหา พร้อมชี้แนะแนวทางว่าภาคธุรกิจควรวางแผนและดำเนินการอย่างไร เพื่อให้อยู่รอดและเติบโตได้ ในวงเสวนา Executive Roundtable หัวข้อ “Driving in the Wave of Deglobalization แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจในกระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ” ในงาน SPOTLIGHT DAY 2025 ที่ SPOTLIGHT จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “New World Order เศรษฐกิจไทยในระเบียบโลกใหม่” เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG กล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงใหญ่ในระดับโลกที่ไทยกำลังเผชิญว่า เป็น ‘tectonic change’ หรือความเปลี่ยนแปลงใหญ่ระดับลึกถึงโครงสร้างที่สั่นคลอนระบบเดิมทั้งหมด โดยหนึ่งในเรื่องที่มองว่าเป็น tectonic change คือ เรื่องการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลกระทบทางอ้อมต่อไทย คือ การไหลเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่หาตลาดอื่นแทนที่ตลาดสหรัฐฯ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง โดยยกตัวอย่างการหลั่งไหลเข้ามาของสินค้าจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่เพิ่มแรงกดดันต่อผู้ผลิตสินค้าไทย อีกทั้งยังมีเรื่องค่าเงินบาทแข็งที่ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลงด้วย 

เรื่องที่เอกชนและรัฐบาลต้องรีบทำ

สิ่งที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG มองว่าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทยต้องเร่งทำ คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (competitiveness) พร้อมกับแนะว่า การจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้นั้นต้องลดต้นทุนและเพิ่มผลิตภาพ (productivity) ขณะเดียวกันต้องมีนโยบายที่ปรับปรุงขนาด (scale) ให้ใหญ่ขึ้น ปรับปรุงต้นทุนให้ต่ำลง และสร้างความแตกต่างด้วยโปรดักต์ที่ยั่งยืน-เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG ย้ำว่า เรื่องการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเป็นสิ่งที่ต้องเร่งทำ เพราะปัญหาที่ธุรกิจจะต้องเผชิญ คือ เมื่อขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง รายได้จะลดลงจนอาจจะไม่ครอบคลุมต้นทุนค่าใช้จ่าย ดังนั้น จึงต้องเร่งลดต้นทุน ซึ่งวิธีการลดต้นทุนนั้นมีหลายวิธี ยกตัวอย่าง การติดโซลาร์เซลล์ในโรงงานและสถานประกอบการ ซึ่งจะช่วยลดค่าไฟฟ้า และช่วยให้ภาพรวมการนำเข้าพลังงานของประเทศไทยลดลงด้วย 

“หลายคนบอกว่าโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าได้แค่ในเวลากลางวัน เกรงว่าจะเกิดปัญหาไฟดับทั้งประเทศเหมือนในสเปน แต่จริง ๆ แล้วสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของไทยมีสัดส่วนต่ำกว่า 15% สามารถเพิ่มเป็น 30% หรือ 40% ได้ และเราสามารถเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นในต่างประเทศได้ สามารถสร้างเทคโนโลยี แล้วค่อย ๆ ทำ แล้วจะเกิดความประหยัดในเชิงขนาดได้” กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG  แสดงความเห็น 

‘กรีน’ ช่วยลดต้นทุน-เพิ่มความสามารถการแข่งขัน 

แม้ว่ามีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่าการติดโซลาร์เซลล์ช่วยลดต้นทุนได้ แต่บริษัทจำนวนมากยังไม่ได้ติด เหตุผลที่ธรรมศักดิ์อธิบายให้ฟังคือ บริษัทขนาดใหญ่กับบริษัทขนาดเล็กมีความพร้อม-ความสามารถต่างกัน สำหรับบริษัทเล็ก ๆ อาจยังไม่มั่นใจว่าจะคืนทุนหรือไม่ ยิ่งกว่านั้น หากไม่มีความรู้เรื่องแผงโซลาร์เซลล์ อาจจะโดนหลอกให้ซื้อแผงโซลาร์เซลล์ที่คุณภาพไม่ดี ใช้งานได้เพียงสามปีก็แผ่นลอก ใช้งานไม่ได้ ซึ่งนอกจากไม่คุ้มทุนแล้ว สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) อาจถึงขั้นล้มละลายได้

“ในช่วงแรกๆ SCG ก็เจอแผ่นโซลาร์เซลล์ลอกมาแล้ว” กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG บอก 

ธรรมศักดิ์บอกว่า SCG ได้นำประสบการณ์ความผิดพลาดต่าง ๆ มาแบ่งปันให้ผู้ประกอบการ SME ได้เรียนรู้ผ่านโครงการ ‘Go Together’ ซึ่งเปิดบ้านให้ผู้ประกอบการ SME มาดูว่า SCG ทำอะไรบ้างและพลาดอะไรบ้าง เป็นการถอดบทเรียนเพื่อไม่ให้ SME ทำพลาดตามรอย SCG ทั้งนี้ โครงการ ‘Go Together’ เปิดมาแล้วกว่า 1,000 รอบ แต่กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG มองว่ายังไม่มากพอ ต้องทำเพิ่มเป็นหมื่นรอบ โดยร่วมกับหอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

“ผมคิดว่าบริษัทใหญ่ที่ลองผิดลองถูกมาแล้วพร้อมที่จะเปิดประสบการณ์เรื่องนี้ เพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปด้วยกัน เพราะถ้าซัพพลายเชนเข้มแข็ง เศรษฐกิจก็จะเข้มแข็ง การทำ green transition (การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว) ทำคนเดียวไม่ได้ และต้องเน้นเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งทำไปด้วยกันได้กับเรื่องกรีน บทเรียนของ SCG คือ ทำเรื่องกรีนแล้วต้นทุนลดลง ถ้าทำแล้วต้นทุนลดลง ทุกคนก็จะอยากทำ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG กล่าว 

กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG กล่าวอีกว่า การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การเพิ่มสเกล เป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน ขณะเดียวกันต้องพัฒนาเทคโนโลยีหรือนำเทคโนโลยีมาใช้ เพราะอุตสาหกรรมจะพัฒนาไปทิศทางเดียวกันกับเทคโนโลยีเสมอ หากทำอุตสาหกรรมโดยไม่มีเทคโนโลยี ก็ยากที่จะแข่งขันได้

กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG ยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่ SCG เพิ่งนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย คือ Heat Battery หรือแบตเตอรีกักเก็บความร้อนสำหรับอุตสาหกรรม

กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG อธิบายว่า เนื่องจากประเทศไทยมีการผลิตพลังงานสะอาดเหลือเฟือ จึงต้องการระบบการกักเก็บพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่ง SCG มองสองตัวเลือก ตัวเลือกหนึ่ง คือ แบตเตอรีกักเก็บพลังงานในรูปแบบความร้อน (Heat Battery) ซึ่ง SCG นำมาใช้ที่สระบุรี และตัวเลือกที่สอง คือ นำแบตเตอรีรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งานสำหรับรถยนต์แล้วมาใช้เป็นแบตเตอรีกักเก็บพลังงานราคาถูก เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของระบบพลังงานในอุตสาหกรรม

ไทยยังมีดี ต้องช่วยกันแก้อุปสรรคการลงทุน 

สำหรับเรื่องกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในประเทศไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG เสนอทางแก้ไขปัญหาว่า หากติดขัดอุปสรรคอะไร ภาคธุรกิจต้องบอกรัฐบาลตรง ๆ ต้องนำปัญหามาพูดกันตรง ๆ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา หากไม่พูดกันตรง ๆ จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และไม่สามารถปลดล็อกความสามารถในการแข่งขันได้ 

ธรรมศักดิ์มองว่า ประเทศไทยยังไม่หมดสิ้นเสน่ห์ และยังคงมีความได้เปรียบในบางด้าน ยังมีธุรกิจต่างชาติอยากลงทุนในไทย และจากประสบการณ์ตรงของ SCG เองก็พบว่าพันธมิตรธุรกิจของ SCG อยากลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ในประเทศไทย แต่ยังติดอุปสรรคกฎระเบียบต่าง ๆ 

“นักลงทุนสนใจเมืองไทยเยอะมาก เราเหมือนกับนักเรียนที่เคยสอบตก ก็เลยไม่มีความมั่นใจ แต่จริง ๆ แล้วเมืองไทยยังมีอะไรดี ๆ เยอะ แม้ว่ามีปัญหาเยอะ และปัญหากัดกินเรา แต่เรายังมีสิ่งดี ๆ ที่เป็นบุญเก่าอยู่ ผมคุยกับพาร์ตเนอร์ เขาอยากมาลงทุนในเมืองไทย แต่ก็เจอตอเต็มไปหมด” 

ธรรมศักดิ์มองทางออกว่า ภาคเอกชนไทยเองต้องพยามช่วยสื่อสารกับภาครัฐเพื่อสร้างความเข้าใจว่าการลงทุนนั้นจะเกิดประโยชน์อย่างไร จะสร้างผลกระทบอย่างไร เพื่อให้การลงทุนเกิดขึ้น ซึ่งการลงทุนนั้นอาจจะเป็น New S-curve ของประเทศไทย เป็นฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ในประเทศไทยสามารถลงทุนได้ด้วย 

“ผมคิดว่าคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 1.4 ล้านล้านที่อยากเข้ามาลงทุนในเมืองไทยนั้น ถ้าเราช่วยกันทำให้เป็น fast track ได้จริง ๆ นำปัญหาที่ติดขัดมาวางบนโต๊ะ แล้วค่อย ๆ แก้กันไป ถ้าแก้ได้หนึ่งก้าว ก็ก้าวหน้าได้หนึ่งก้าว ถ้าแก้ได้สองก้าว ก็ก้าวหน้าไปสองก้าว ถ้าแก้แล้วก็จะได้ประโยชน์กับทั้งระบบ ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ต้องทำ และต้องพยายามใส่แรงเข้าไปในจุดที่เป็นฐานเศรษฐกิจใหม่ เช่น พลังงานสะอาด ซึ่งเรามีความได้เปรียบสูงมาก …

“ผมคิดว่าปัญหามี แต่อย่าเพิ่งถอดใจ ผมยังอยากให้กำลังใจว่ามีหลายคนที่อยากช่วยกันผลักดันให้ประเทศไทยก้าวไปต่อได้ เพียงแต่ต้องยอมรับว่ามีปัญหาก่อน แล้วพูดคุยกัน ช่วยกันแก้ปัญหา แล้วปัญหาที่แก้ได้ก็จะดีขึ้น” กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG กล่าว 

แก้ปัญหาจากเล็กให้สำเร็จ แล้วขยายไปใหญ่ 

สำหรับการจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะปัญหาใหญ่เชิงโครงสร้าง ซึ่งภาคเอกชนมองว่าปัญหาเกิดจากภาครัฐนั้น ธรรมศักดิ์มองว่าจำเป็นต้องมี political willpower (เจตจำนงทางการเมือง) ที่จะแก้ปัญหา โดยมองว่า political willpower เป็นรากฐานที่จะนำไปสู่ implementation (การนำแผนไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ) 

ในส่วนการดำเนินการเพื่อให้เกิดผลสำเร็จนั้น กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG แนะว่า การ implementation ในระบบที่ซับซ้อน มีปัญหามาก-ปัญหาใหญ่ที่แก้ไขยาก ต้องเริ่มจากแก้แบบเล็กไปใหญ่ 

กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG ยกกรณีศึกษาของ SCG มาเล่าให้ฟังว่า ในวันที่ SCG ประกาศความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย ‘Net Zero 2050’ (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593) นั้น SCG ตระหนักว่าเป็นเป้าหมายที่ทำได้ยาก อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่น ด้วยเจตจำนงที่จะทำให้ได้ จึงเริ่มจากวางไดเร็กชันว่าในช่วงเวลา 25-30 ปีนั้น ต้องใช้ซีอีโอจำนวน 4 คน และวางแผนว่าซีอีโอคนแรกต้องทำอะไรบ้าง และต้องส่งมอบไดเร็กชัน วิธีการ และเจตจำนงความมุ่งมั่นให้ซีอีโอคนต่อไปอย่างไร 

ส่วนการดำเนินการที่เริ่มจากเล็กไปใหญ่ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG เล่าว่า SCG เลือกเริ่มจากพื้นที่เล็กแต่ยาก นั่นคือ ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ ที่ตั้งเป้าให้สระบุรีซึ่งเป็นเมืองแห่งซีเมนต์กลายเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ พร้อมโจทย์ที่ต้องทำให้ inclusive ให้บริษัทเล็ก ๆ ในห่วงโซ่อุปทานสามารถเปลี่ยนผ่านและรอดไปด้วยกันได้ 

“แม้ว่าเริ่มจากเล็กไปใหญ่ แต่ก็ยังรู้สึกว่ายากมาก ติดปัญหาเต็มไปหมด แต่อย่างน้อยมันก็เป็นการเปิดเผยปัญหาออกมาให้เห็นว่านี่คือปัญหาที่ต้องแก้ แล้วสเต็ปถัดไปก็คิดไปทีละส่วนว่าจะแก้อย่างไร ถ้าเป็นไปได้ อยากแนะนำว่า ให้แก้เลย เร่ิมจากเรื่องเล็กไปใหญ่ ถ้ามีจุดผิดพลาด ขนาดของปัญหามันจะเล็ก ถ้าผิดพลาดแล้วต้องปรับให้เร็ว ยกตัวอย่าง เราเห็นโมเดลการพัฒนาของประเทศจีนที่เริ่มจากบางเมือง ซึ่งเขาต้องแก้เยอะมาก ไม่ใช่ทำถูกตั้งแต่ก้าวแรก แต่ปัญหามันเล็ก และแก้ได้เร็ว เมื่อทำสำเร็จแล้วค่อยถอดบทเรียนขยายต่อไปโครงการอื่น” 

นอกจากนั้น ธรรมศักดิ์มองว่า สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ Early Win (ชัยชนะหรือความสำเร็จที่เกิดขึ้นเร็ว) เพื่อที่จะให้เกิดความมั่นใจและเกิดแรงขับเคลื่อนในการดำเนินการ ซึ่งการเริ่มทำจากเล็ก ๆ มีแนวโน้มที่จะสำเร็จเร็วกว่าการทำทีเดียวทั้งระบบ และความสำเร็จนั้นจะทำให้คนหมู่มากเห็นว่า ‘เป็นไปได้’ 

ทั้งนี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG มองว่า ในการที่จะสร้างความเปลี่ยนในระบบใหญ่นั้น การลบความไม่มั่นใจแล้วทำให้ผู้คนเห็นถึงความเป็นไปได้ สำคัญไม่แพ้การวางแผนลงรายละเอียดการแก้ปัญหา 

แชร์
ธรรมศักดิ์ SCG แนะเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน-เร่งแก้อุปสรรคการลงทุน