
ถ้าคนที่อยู่กับเรื่องแก้หนี้ของคนไทยมาตลอดหลายสิบปีอย่าง “โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์” วิทยากรด้านการเงิน และเป็นเจ้าของเพจ The Money Coach ที่ยังต้องหยุดคิด แล้วพูดชัด ๆ ว่า “ยุคนี้แก้หนี้ยากกว่าเดิมจริง ๆ” ประโยคนี้ไม่ใช่คำพูดปลอบใจใคร และไม่ใช่การโทษคนเป็นหนี้ แต่เป็นเสียงสะท้อนจากคนที่ได้เห็นชีวิตจริงของลูกหนี้มานับไม่ถ้วน ตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจดี เศรษฐกิจแย่ จนถึงโลกหลังโควิด และสิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุด ไม่ใช่แค่ตัวเลขหนี้ แต่คือโครงสร้างชีวิตของคนไทยทั้งระบบ
ในอดีต ภาพจำของคนเป็นหนี้หนัก มักเป็นคนรายได้ไม่สูง รายได้เดือนละ 15,000–20,000 บาท ใช้เงินชนเดือน มีบัตรเครดิตหนึ่งถึงสองใบ แต่วันนี้ โค้ชหนุ่มบอกว่า “คนที่มาปรึกษาปัญหาหนี้กับผมมีกลุ่มคนรายได้ 80,000–100,000 บาทต่อเดือน แก้หนี้ยากมากขึ้นเรื่อย ๆ”
สาเหตุการเป็นหนี้ของลูกหนี้ที่ส่งเมล์เข้ามาหาทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 50 เมล์ พบว่า เป็นหนี้เพราะภาระเยอะจริงราวครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือการใช้จ่ายเกินตัว ซึ่งกลุ่มหลังนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะฟุ่มเฟือยแบบไม่คิดอะไร แต่เพราะชีวิตถูกออกแบบไว้บน “รายได้ที่คิดว่าจะมั่นคงตลอดไป” บ้านราคาหลายล้าน รถมากกว่าหนึ่งคัน ค่าใช้จ่ายที่ผูกยาวเป็นสิบ ๆ ปี ภาระดูแลพ่อแม่ ลูก และครอบครัว
เมื่อรายได้สะดุดเพียงเล็กน้อย—ธุรกิจชะลอ โบนัสหาย งานไม่มั่นคงเหมือนเดิม—ทั้งชีวิตที่สร้างไว้ก็เริ่ม “รับไม่ไหว”
“ปัญหาคือ เราสร้างชีวิตที่แพงกว่าความสามารถในการรับแรงกระแทกของรายได้” โค้ชหนุ่มอธิบาย ซึ่งนี่ไม่ใช่ปัญหาส่วนบุคคล แต่มันกำลังเป็นความเปราะบางเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจครัวเรือนไทย
อีกภาพหนึ่งที่โค้ชหนุ่มเจอมากขึ้น คือกลุ่มที่เขาบอกตรง ๆ ว่า “น่าเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อย ๆ” คือกลุ่มที่ใช้เงินเกินตัว เพราะแรงดึงดูดรอบข้าง โซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยชีวิตดี ๆ ดารา อินฟลูเอนเซอร์ มีรถ บ้าน ทริปหรู และวัฒนธรรม “ไม่อยากตกกลุ่ม” หลายคนไม่ได้อยากได้ของ แต่ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า คนไทยจำนวนมากใช้โซเชียลมีเดีย เสพชีวิตดีๆของคนอื่นจนมาเป็นมาตรฐานความสุขให้กับชีวิตตัวเอง โดยไม่มีความรู้ความเข้าใจและการวางแผนการเงิน
“เราเห็นเค้าซื้อบ้านหลายสิบล้านด้วยเงินสด บ้านหลายห้องนอน เราชื่นชมว่าเค้าเก่ง นี่คือความสำเร็จ … ถามหน่อยว่า หลังจากซื้อแล้วค่าใช้จ่ายภายในบ้านหลังใหญ่นี้เรามีเงินจ่ายใช่มั้ย?”
ชีวิตของดาราหลายคนที่เราเห็นว่าเค้ามีชีวิตที่ดี กินหรู อยู่สบาย หลายคนกลับมาปรึกษาปัญหาหนี้สินของโค้ชหนุ่มก็ไม่น้อย
ยิ่งอันตรายขึ้นอีกเมื่อระบบการเงินเปิดช่องให้ “เป็นหนี้ได้ง่ายมาก” โดยแทบไม่ต้องรู้จักคำว่าเครดิต Buy Now Pay Later ใช้ก่อน ผ่อนทีหลัง ไม่ต้องมีรายได้ประจำ ไม่ต้องมีบัตรเครดิต แทบไม่มีการตรวจสอบความเสี่ยงใดๆเลย ซึ่งกลุ่มที่อันตรายคือ นักเรียน นักศึกษา
“วันนี้ นักศึกษายังผ่อนป๊อปคอร์นหลักร้อยได้ แล้วมันไปโผล่ในเครดิตบูโร”
หนี้เล็ก ๆ ที่ดูไม่อันตราย กำลังสะสมเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต โดยที่คนจำนวนมากไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ หากเด็กๆเหล่านี้เรียนจบไป วันข้างหน้าอยากซื้อบ้านซื้อรถ ไปกู้ธนาคาร อาจจะทำไม่ได้เพราะตัวเองเคยมีประวัติค้างชำระอยู่ในเครดิตบูโร เพียงเพราะค้างค่าผ่อนของไม่กี่ร้อยบาท
อีกเรื่องที่โค้ชหนุ่มพูดด้วยความเป็นห่วง คือ “การทุ่มทุกอย่างให้ลูก” โดยไม่ถามตัวเองว่า “ไหวจริงไหม” โรงเรียนอินเตอร์ ค่าเทอมที่ต้องผูกยาวหลายปี ค่าใช้จ่ายแฝงที่ไม่มีในโบชัวร์
“ผมเจอหลายบ้านที่พ่อแม่ไม่มีปัญหาจนกระทั่งตัดสินใจส่งลูกเรียนในสิ่งที่เกินกำลัง นั่นคือ ค่านิยมลูกต้องเรียนนานาชาติ ”
เมื่อรายได้สะดุด หนี้ก้อนนี้คือหนี้ที่แก้ยากมาก เพราะไม่มีใครอยากลดคุณภาพชีวิตของลูก แม้ตัวเองจะเริ่มไม่ไหวแล้วก็ตาม
โค้ชหนุ่มไม่ได้พูดถึงหนี้ด้วยภาษาตัวเลขอย่างเดียว แต่พูดถึง “พฤติกรรม” ที่กำลังบอกว่า การเงินเริ่มมีปัญหา
“วันที่คุณเริ่มจ่ายขั้นต่ำ นั่นคือสัญญาณเตือนแล้ว”
บัตรเครดิตดอกเบี้ย 16% สินเชื่อบุคคล 25% การจ่ายขั้นต่ำคือการยอมให้เงินจมอยู่กับดอกเบี้ย โดยไม่รู้ตัว
อีกสัญญาณหนึ่งที่ฟังดูไม่ใช่เรื่องเงินเลย คือ “เป็นคนมีความสุขยาก ทุกข์ง่าย” เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ซื้อของเพื่อเยียวยาความรู้สึก มีความสุขแค่ตอนกดสั่ง ของมาส่งแล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสั่งอะไร
“ถ้าซื้อของมาแล้วไม่แกะกล่อง แปลว่าคุณไม่ได้อยากได้ของนั้นจริง ๆ”
โค้ชหนุ่มยอมรับตรงไปตรงมาว่า “หลักการแก้หนี้ไม่ได้เปลี่ยน แต่บริบทมันโหดขึ้น” สิ่งที่เขาย้ำหนักที่สุด ไม่ใช่ยอดหนี้รวม แต่คือ “สภาพคล่อง”
“ลืมยอดหนี้ไปก่อน แต่ต้องดูก่อนว่าแต่ละเดือนคุณติดลบเท่าไหร่”
ต้องทำรายรับ–รายจ่ายล่วงหน้า 6 เดือน ไม่ใช่ย้อนหลัง เพื่อเห็นว่ารอยรั่วจริง ๆ อยู่ตรงไหน ต้องกล้าเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ ไม่หนี ไม่ปิดโทรศัพท์
“พังในระบบ ยังดีกว่าพังนอกระบบ” เพราะหนี้นอกระบบ ดอกเบี้ยวันละ 5% ไม่มีพื้นที่ให้เจรจา และไม่มีทางออกที่ยั่งยืน
“มนุษย์ขับเคลื่อนด้วยความหวัง ไม่ใช่ตรรกะ”
หนึ่งในประโยคที่สะท้อนหัวใจของ Money Coach มากที่สุด คือแนวคิดเรื่อง “บ่อน้ำแห่งความหวัง” แม้จะเป็นหนี้ ก็ยังต้องมีเงินออมเล็ก ๆ เช่น เก็บ 500 บาทต่อเดือน หรืออมทองคำ อย่าคิดว่าเป็นหนี้แล้วจะไม่มีสิทธิออมเงิน “มันไม่ใช่เรื่องผลตอบแทน แต่การได้เก็บบ้างมันคือความหวัง”เพราะถ้าชีวิตมีแต่การจ่ายหนี้ ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย สุดท้ายคนจะหมดแรงสู้
เมื่อฟังโค้ชหนุ่มพูดต่อเนื่อง จะเห็นชัดว่า นี่ไม่ใช่เรื่อง “คนไม่รู้จักออม” อย่างเดียว แต่คือระบบเศรษฐกิจที่รายได้ไม่มั่นคง หนี้เข้าถึงง่าย ความรู้การเงินไม่ถูกปลูกฝัง และสังคมกดดันให้ใช้ชีวิตแพง
ทั้งหมดนี้ซ้อนทับกัน จนทำให้การแก้หนี้ในยุคนี้ “ยากกว่าเดิมจริง ๆ”แต่ในความหนักหน่วงนั้น โค้ชหนุ่มยังทิ้งประโยคที่เป็นกำลังใจไว้เสมอ “ทุกปัญหาทางการเงินมีทางแก้ ยกเว้นคนที่ไม่สู้แล้ว”
ติดตามการสัมภาษณ์โค้ชหนุ่มตอน “ยุคนี้แก้หนี้ยากกว่าเดิม” ในรายการ SPOTLIGHT BizTalk Special ช่องทาง FB และ Youtube SPOTLIGHT