
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ประกาศอายัดและยึดทรัพย์เครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ “ยิม เลียก-เบน สมิธ” ซึ่งเชื่อมโยงกับขบวนการหลอกลวงประชาชนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่หลอกซื้อสินค้า การพนันออนไลน์ ไปจนถึงหลอกกู้เงินและชักชวนลงทุนปลอมทั้งหมด 4 คดี รวมมูลค่าประมาณ 10,165 ล้านบาท
หนึ่งในปฏิบัติการที่ถูกจับตามอง คือการอายัดหุ้น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ซึ่ง ปปง. ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการดำเนินคดีต่อบริษัทโดยตรง แต่เป็นการอายัดหุ้นที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลหรือบริษัทที่ตรวจพบว่าเชื่อมโยงกับเส้นทางเงินผิดกฎหมาย เพื่อรอการพิสูจน์ที่มาของทรัพย์สินตามกระบวนการกฎหมาย
การแถลงข่าวเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และนายเทพสุ บวรโชติดารา รองเลขาธิการ ปปง. ร่วมแถลงผลปฏิบัติการครั้งสำคัญ
พล.ต.ต.โสภณเปิดเผยว่า คดีดังกล่าวเริ่มต้นจากการรับแจ้งความของเหยื่อการฉ้อโกงออนไลน์ ก่อนส่งเรื่องเข้าสู่ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงลึก พบว่าเฉพาะปี 2564 มีผู้เสียหายกว่า 700 ราย ส่วนใหญ่ถูกหลอกจากการซื้อสินค้า เล่นพนันออนไลน์ สมัครงานปลอม และผ่านแพลตฟอร์มปล่อยกู้เถื่อน
กระบวนการสอบสวนพบว่า เงินถูกโอนผ่านบัญชีม้าเป็นทอด ๆ ไล่ตั้งแต่แถวที่ 1 ถึงแถวที่ 5 โดยบัญชีม้าชั้นท้ายสุด 2 บัญชีสำคัญ คือบัญชีธนาคารกรุงเทพและบัญชีธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเชื่อมโยงไปยังบัญชีของ “ยิม เลียก” ผู้บริหาร BIC Bank Cambodia โดยบัญชีธนาคารกรุงเทพมียอดธุรกรรมสูงถึงประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนบัญชีธนาคารกสิกรไทยมีความเสียหายราว 154 ล้านบาท และจากการรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ผ่านการสอบสวนผู้เสียหายกว่า 40 ปาก ยังพบอีกว่า ผู้เสียหายทั้งหมดถูกหลอกลวงจากการกู้ยืมเงินและสั่งซื้อสินค้า
ในเวลาเดียวกัน ปปง. ตรวจพบว่าบัญชีของ “นางสาว แตงไทย บ้านมะหิงษ์” ถูกใช้เป็นบุคคลรับมอบอำนาจในการทำธุรกรรมทางการเงินให้กลุ่ม “ยิม เลียก-ภรรยา-เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Benjamin Mauerberger)” โดยช่วงปี 2560-2565 มียอดรับโอนรวมกว่า 15,000 ล้านบาท ก่อนเงินจะถูกส่งไปยังบริษัทบังหน้าหลายแห่งเพื่อฟอกเงินและนำไปซื้อทรัพย์สินมีมูลค่า
ทางฝั่งของ ปปง. จึงมีมติยึดอายัดทรัพย์สินในคดีนี้รวม 66 รายการ คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 9,279 ล้านบาท โดยทรัพย์สินที่ถูกยึดประกอบด้วยที่ดิน ห้องชุด และทรัพย์สินที่มีนัยสำคัญอย่างหลักทรัพย์หรือหุ้นของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ซึ่งในขณะนั้นมีมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท
นายเทพสุเปิดเผยว่า หุ้นบางจากถูกอายัดในฐานะทรัพย์สินที่อยู่ในความครอบครองของบริษัทบังหน้า ซึ่งพบหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับเงินจากการกระทำความผิด คณะกรรมการธุรกรรม ปปง. จึงมีมติอายัดไว้เป็นเวลา 90 วัน พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ถือครองพิสูจน์ความบริสุทธิ์ภายใน 30 วัน หากพบว่าไม่ได้เชื่อมโยงกับการกระทำผิด อาจมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดตามกฎหมาย
ทั้งนี้ นอกจากกรณีของยิม เลียกและเบนจามินแล้ว ขณะนี้ปปง. ยังดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเครือข่ายอื่นเพิ่มเติม ได้แก่
สำนักงาน ปปง. ตรวจสอบพบว่า เฉิน จื้อ และเครือข่าย มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติด้านการฉ้อโกงออนไลน์ การค้ามนุษย์ และการฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล โดยมีฐานปฏิบัติการหลักอยู่ในประเทศกัมพูชา พร้อมข้อมูลเชื่อมโยงว่า เฉิน จื้อ กับพวก เป็นผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท Prince Holding Group (Prince Group) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจข้ามชาติในกัมพูชา
การสืบสวนพบว่า เครือข่ายองค์กรอาชญากรรมในแต่ละคดีมีความเชื่อมโยงระหว่างกัน และใช้วิธีฟอกเงินด้วยการแปลงสภาพเงินตราข้ามประเทศไปเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลและทรัพย์สินรูปแบบอื่น ตลอดจนตรวจพบบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีเส้นทางการเงินโยงใยถึงกันและเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยรูปแบบการกระทำความผิดเป็นลักษณะ “ไฮบริดสแกม” ใช้วิธีหลอกลวงหลายรูปแบบ หลายขั้นตอน เพื่อจูงใจให้ผู้เสียหายโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร
ในคดีนี้ คณะกรรมการมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดรวม 102 รายการ อาทิ ที่ดิน เงินสด สินค้าแบรนด์เนม และเครื่องประดับ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 373 ล้านบาท
คดีนี้เกิดจากการจับกุมผู้ต้องหาฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและการฟอกเงิน โดยเกี่ยวเนื่องกับ น.ส.ปาริฉัตต์ แซ่เอี๊ยว กับพวก จากกรณี น.ส.ชาล็อต ออสติน ผู้เสียหายถูกหลอกลวงจนได้รับความเสียหาย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสืบสวนขยายผลและพบความเชื่อมโยงของกลุ่มผู้กระทำความผิดซึ่งมีลักษณะเป็นเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติขนาดใหญ่
จากการตรวจสอบ พบว่ามีศูนย์ปฏิบัติการตั้งอยู่ในราชอาณาจักรกัมพูชา อาทิ อาคาร 25 ชั้น อาคาร 18 ชั้น อาคาร Hiso และอาคาร Crown Casino พร้อมขบวนการควบคุมบัญชีม้า โดยบังคับให้ผู้เปิดบัญชีสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันการทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งนี้ พบว่า นายก๊ก อาน สัญชาติกัมพูชา เป็นเจ้าของสถานที่ซึ่งใช้เป็นฐานปฏิบัติการของขบวนการดังกล่าว
นอกจากนี้ ผลการสืบสวนยังพบว่า เครือข่ายฉ้อโกงประชาชนในลักษณะอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีการรับโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร และนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปซื้อทรัพย์สิน โดยใช้บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องถือครองกรรมสิทธิ์แทนในทรัพย์สินจำนวนมากในประเทศไทย
คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจำนวน 90 รายการ อาทิ ที่ดินและเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร รวมมูลค่าประมาณ 467 ล้านบาท
คดีนี้เกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลงทุน โดยกลุ่มผู้ต้องหาใช้การชักชวนประชาชนให้ลงทุนเทรดหุ้นผ่านกลุ่มไลน์ชื่อ “กลยุทธ์การลงทุน” ซึ่งอ้างว่าเป็นแหล่งให้ความรู้ด้านการลงทุนและแสดงข้อมูลผลกำไรในลักษณะจูงใจ จนผู้เสียหายหลงเชื่อและตัดสินใจลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน ULELA Max
จากการสืบสวนขยายผลและตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่าเงินที่ได้จากการหลอกลงทุนถูกนำไปแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัล USDT ก่อนโอนไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัล และตรวจพบความเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มบริษัทสัญชาติกัมพูชา
คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด รวม 31 รายการ ได้แก่ เงินสดและเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 46 ล้านบาท
จากการรวบรวมพยานหลักฐาน ศาลอาญาอนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 42 ราย จับกุมได้แล้ว 29 ราย เหลืออีก 13 รายอยู่ระหว่างหลบหนี ขณะที่ทรัพย์สินที่ยึดไว้เบื้องต้นจากคดีทั้งหมด ประกอบด้วยรถยนต์หรู เรือยอชต์ เงินสดในบัญชี ที่ดิน ห้องชุด และทรัพย์สินอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 1.01 หมื่นล้านบาท
ในประเด็นที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์ของเบนจามินกับนักการเมือง นายกรัฐมนตรีระบุว่า การรู้จักกันเป็นเรื่องปกติ แต่การดำเนินคดีเป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ตามพยานหลักฐาน ไม่ยึดโยงกับชื่อบุคคลหรือสถานะทางการเมือง พร้อมย้ำว่าถ้าไม่ดำเนินการ ก็อาจเข้าข่ายละเว้นเสียเอง
นายอนุทินยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเพิกถอนสัญชาติไทยของยิม เลียกเรียบร้อยแล้ว พร้อมชื่นชมการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปปง. และกระทรวงดิจิทัลฯ ว่าการยึดทรัพย์ล็อตนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง