
วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) มหาเศรษฐี-นักลงทุนผู้เป็นตำนานของโลก เผยแพร่จดหมายถึงผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway (เบิร์กเชียร์ แฮทาเวย์) ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอบริษัทเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ก่อนที่จะลงจากตำแหน่งในสิ้นปีนี้ และขยับไปเป็นประธานบริษัทในต้นปีหน้า
บัฟเฟตต์บอกว่า หลังลงจากตำแหน่ง เขาจะไม่ขึ้นเวทีกล่าวอะไรในงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีและจะไม่เขียนรายงานประจำปีของบริษัทอีก แต่จะยังคงเขียนจดหมายถึงผู้ถือหุ้นประจำปีในช่วงก่อนเทศกาลขอบคุณพระเจ้าต่อไป
ในจดหมายซีอีโอฉบับสุดท้ายความยาว 8 หน้ากระดาษที่เผยแพร่ออกมาล่าสุดนี้ บัฟเฟตต์สื่อสารหลายเรื่องกับผู้ถือหุ้น ซึ่ง SPOTLIGHT คัดส่วนที่สำคัญมา ดังต่อไปนี้
จดหมายของบัฟเฟตต์แจ้งเรื่องสำคัญต่อผู้ถือหุ้นว่า บัฟเฟตต์ได้แปลงหุ้น Class A จำนวน 1,800 หุ้นเป็นหุ้น Class B จำนวน 2,700,000 หุ้น เพื่อนำหุ้น Class B จำนวนดังกล่าวแบ่งมอบให้กับมูลนิธิของครอบครัวของเขาทั้ง 4 มูลนิธิ ได้แก่ The Susan Thompson Buffett Foundation จำนวน 1,500,000 หุ้น The Sherwood Foundation, The Howard G. Buffett Foundation และ NoVo Foundation มูลนิธิละ 400,000 หุ้น
ทั้งนี้ ธุรกรรมการแปลงหุ้นและการบริจาคเสร็จสิ้นแล้วในวันที่ 10 พฤศจิกายน
บัฟเฟตต์บอกว่าเขาต้องแบ่งหุ้นให้ลูกๆ เพราะลูกทั้งสามก็อายุมากแล้ว โดยมีอายุ 72, 70 และ 67 ปีตามลำดับ บัฟเฟตต์มองว่าถ้ามอบหุ้นให้ลูกตั้งแต่ตอนนี้จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ลูกทั้งสามจะได้จัดการทรัพย์สินของตนเองในตอนที่ยังมีความสามารถจัดการเองได้
“ตอนนี้ลูกๆ ของผมอยู่ในช่วงรุ่งเรืองที่สุดทั้งในแง่ของประสบการณ์และสติปัญญา แต่ยังไม่เข้าสู่วัยชรา ซึ่งช่วงเวลา ‘ฮันนีมูน’ นี้จะไม่คงอยู่ตลอดไป” บัฟเฟตต์กล่าวถึงความเหมาะสมที่จะส่งต่อทรัพย์สินให้ลูกๆ
อย่างไรก็ตาม บัฟเฟตต์บอกว่า ยังมีปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ต้องพิจารณา ซึ่งก็คือ การคำนึงความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้น
“ผมอยากเก็บหุ้น Class A จำนวนมากเอาไว้จนกว่าผู้ถือหุ้น Berkshire จะรู้สึกสบายใจกับเกร็ก ซึ่งผมและชาร์ลี (Charlie Munger) มีความรู้สึกนี้มานานแล้ว ความเชื่อมั่นในระดับนั้นไม่น่าจะใช้เวลานาน ลูกๆ ของผมสนับสนุนเกร็กเต็ม 100% เช่นเดียวกับคณะกรรมการของ Berkshire”
“เกร็ก เอเบล (Greg Abel) จะขึ้นเป็นผู้นำเมื่อสิ้นสุดปีนี้ เขาเป็นผู้จัดการที่ยอดเยี่ยม เป็นคนที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และเป็นผู้สื่อสารที่ซื่อสัตย์ ขอให้เขาจงอยู่ในตำแหน่งไปนานๆ” บัฟเฟตต์กล่าวถึง เกร็ก เอเบล ผู้ซึ่งเขาเลือกให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งซีอีโอบริษัท
บัฟเฟตต์บอกให้ผู้ถือหุ้นสบายใจว่า การที่ตัวเขาเร่งบริจาคเงินให้กับมูลนิธิของลูกๆ ไม่ได้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงมุมมองเกี่ยวกับคาดการณ์อนาคตของ Berkshire แต่อย่างใด
“เกร็ก เอเบล ตอบสนองต่อความคาดหวังอันสูงลิ่วของผมได้มากกว่าที่ผมคิดไว้เมื่อตอนเลือกเขาเป็นซีอีโอคนต่อไปของ Berkshire เขาเข้าใจธุรกิจและบุคลากรของเราดีกว่าผมมาก และเขาเรียนรู้เรื่องต่างๆ ได้เร็วมาก ซึ่งบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ซีอีโอหลายคนก็ไม่ได้นึกถึงด้วยซ้ำ ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะมีซีอีโอ ที่ปรึกษาด้านการจัดการ นักวิชาการ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือใครคนใดที่ผมควรเลือกให้ดูแลเงินออมของคุณและของผมมากไปกว่าเกร็ก”
บัฟเฟตต์บอกอีกว่า เกร็กเข้าใจทั้งศักยภาพและอันตรายของธุรกิจประกันภัยทรัพย์สิน (P/C Insurance) ของ Berkshire ดีกว่าผู้บริหารประกันภัยทรัพย์สินที่ทำงานมานานหลายคน
“ผมหวังว่าสุขภาพของเขาจะยังคงดีไปอีกหลายสิบปี”
ไม่เพียงแต่พูดถึงซีอีโอคนที่กำลังรับช่วงต่อ แต่บัฟเฟตต์บอกถึงคุณสมบัติผู้นำที่ Berkshire ควรมองหาในอนาคตด้วยว่า ควรเป็นคนที่ไม่รีบเกษียณ ไม่อยากร่ำรวยมากจนเกินไป และไม่สร้างราชวงศ์ ไม่ส่งต่ออำนาจสู่ครอบครัวตนเอง
“หากโชคดี Berkshire น่าจะต้องการซีอีโอเพียงห้าหรือหกคนในศตวรรษหน้า และควรหลีกเลี่ยงผู้ที่มีเป้าหมายที่จะเกษียณตอนอายุ 65 ปี ผู้ที่อยากร่ำรวยจนเป็นที่จับตามอง หรือผู้ที่ต้องการสร้างราชวงศ์ของตัวเอง”
นอกจากนั้น บัฟเฟตต์เตือนให้เตรียมใจและเตรียมพร้อมว่า บางครั้ง บริษัทอาจจะเจอกับโชคร้าย คือ ซีอีโอผู้เปี่ยมด้วยความรักและภักดีต่อบริษัท (ไม่ว่าจะบริษัทแม่หรือบริษัทลูก) อาจจะป่วยไข้จากโรคต่างๆ เช่น ภาวะสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ หรือโรคเรื้อรังอื่นๆ ที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมจนไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทควรตื่นตัวกับความเป็นไปได้นี้ เพื่อที่จะเตรียมความพร้อมในการหาผู้สืบทอดตำแหน่งบริหารเอาไว้
สำหรับอนาคตธุรกิจของ Berkshire บัฟเฟตต์บอกให้ผู้ถือหุ้นสบายใจว่า โดยรวมแล้วธุรกิจของ Berkshire มีแนวโน้มที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยพอสมควร โดยมีบริษัทขนาดใหญ่จำนวนไม่มากที่เป็น non-correlated (ไม่สัมพันธ์-เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน) ทำหน้าที่เป็นหลักประกันความเสี่ยง แต่เขายอมรับว่า ในอีกหนึ่งหรือสองทศวรรษข้างหน้า จะมีหลายบริษัทที่ทำผลงานได้ดีกว่า Berkshire เพราะขนาดที่ใหญ่ของ Berkshire กำลังสร้างผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน
อย่างไรก็ตาม บัฟเฟตต์บอกว่า Berkshire มีโอกาสเกิดหายนะน้อยกว่าบริษัทอื่นๆ เพราะมีธุรกิจแข็งแกร่ง หลากหลาย มีผู้บริหารและกรรมการบริษัทที่คำนึงถึงผู้ถือหุ้นเป็นอย่างมาก
“Berkshire มีโอกาสเกิดหายนะน้อยกว่าธุรกิจใดๆ ที่ผมรู้จัก และ Berkshire มีคณะผู้บริหารและคณะกรรมการที่คำนึงถึงผู้ถือหุ้นมากกว่าบริษัทอื่นๆ เกือบทั้งหมดที่ผมคุ้นเคย (และผมเคยเห็นมาเยอะแล้ว) ท้ายที่สุดแล้ว Berkshire จะถูกบริหารจัดการในลักษณะที่จะทำให้การดำรงอยู่ของบริษัทเป็นสมบัติของสหรัฐอเมริกา และหลีกเลี่ยงการบริหารที่จะทำให้บริษัทกลายเป็นผู้ร้องขอความช่วยเหลือ [จากรัฐ] แล้วเมื่อเวลาผ่านไป ผู้จัดการของเราควรร่ำรวยพอสมควร เพราะพวกเขามีภาระหน้าที่ที่สำคัญ แต่ไม่ควรปรารถนาความมั่งคั่งแบบราชวงศ์หรือความมั่งคั่งแบบตะโกนให้คนมอง”
“ราคาหุ้นของเราจะเคลื่อนไหวอย่างเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางครั้งอาจร่วงลงประมาณ 50% ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วถึงสามครั้งในช่วง 60 ปีภายใต้การบริหารยุคปัจจุบัน แต่จงอย่าสิ้นหวัง อเมริกาจะกลับมา และหุ้น Berkshire ก็จะกลับมาเช่นกัน” ซีอีโอวัย 95 ปีของ Berkshire Hathaway บอกกับผู้ถือหุ้นของเขา