Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ทำไม วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายหุ้น BYD? ทั้งที่ทำกำไรมหาศาลที่สุดในการลงทุน

ทำไม วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายหุ้น BYD? ทั้งที่ทำกำไรมหาศาลที่สุดในการลงทุน

23 ก.ย. 68
17:15 น.
แชร์

วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดการลงทุนทั่วโลกอีกครั้ง ด้วยการตัดสินใจที่น่าจับตาที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ Berkshire Hathaway นั่นคือการขายหุ้น BYD ออกทั้งหมด เป็นการปิดฉากการลงทุนที่ยาวนานถึง 17 ปี ไม่เพียงแต่เป็นการสิ้นสุดบทบาทของนักลงทุนในตำนาน นั่นถือเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงมุมมองที่มีต่ออนาคตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของโลกหรือเปล่า เราจะพาย้อนรอยสู่จุดเริ่มต้นของการลงทุนในหุ้น BYD ไปจนถึงการตัดสินใจขายทิ้งในปัจจุบัน พร้อมวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้กัน

จุดเริ่มต้น เพราะ "ปาฏิหาริย์"

เรื่องราวการลงทุนใน BYD เริ่มขึ้นในปี 2008 ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการเงินแฮมเบอร์เกอร์ Berkshire Hathaway ได้เข้าซื้อหุ้นของ BYD ในราคาประมาณ 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของบริษัท ซึ่งในขณะนั้น BYD ยังเป็นเพียงผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับโทรศัพท์มือถือที่กำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า การลงทุนครั้งนี้ไม่ได้มาจากวอร์เรน บัฟเฟตต์โดยตรง แต่เป็นเพราะคำแนะนำที่หนักแน่นจาก ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) คู่หูผู้ล่วงลับที่เปรียบเหมือนมันสมองอีกครึ่งหนึ่งของบัฟเฟตต์ มังเกอร์มองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของ หวัง ชวนฟู (Wang Chuanfu) ผู้ก่อตั้งและประธานของ BYD ซึ่งเขาชื่นชมในความสามารถด้านวิศวกรรมและการจัดการธุรกิจ มังเกอร์เปรียบเทียบ หวัง ชวนฟู ว่าเป็นเหมือน "ปาฏิหาริย์" ที่สามารถรวมความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการและวิศวกรเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว และเชื่อมั่นว่า BYD จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างแน่นอน

จากบริษัทเล็กสู่ยักษ์ใหญ่ EV โลก

ตลอดระยะเวลา 14 ปีแรกของการลงทุน Berkshire Hathaway ไม่เคยแตะต้องหรือขายหุ้น BYD ออกเลยแม้แต่หุ้นเดียว มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล สอดคล้องกับการเติบโตของ BYD ที่ก้าวขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหน้าใหม่ในตลาดจีน สู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุดของโลก แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Tesla ในแง่ของยอดขายในบางไตรมาส

  • ปี 2008 Berkshire Hathaway เข้าซื้อหุ้น BYD ในราคาต่ำ
  • ช่วง 2008 - 2022 มูลค่าหุ้น BYD เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากการขยายตลาดในจีนและทั่วโลก
  • มูลค่าการลงทุนใน BYD เคยพุ่งสูงเกือบ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นผลตอบแทนมากกว่า 3,890% จากเงินลงทุนเริ่มต้น ทำให้การลงทุนใน BYD กลายเป็นหนึ่งในดีลที่ทำกำไรมหาศาลที่สุดของ Berkshire Hathaway

ความสำเร็จของ BYD มาจากหลายปัจจัย ทั้งการผลิตแบตเตอรี่ "Blade Battery" ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการต้นทุนที่ดีเยี่ยม การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่นที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกระดับ และการได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ BYD สามารถเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง

การตัดสินใจขายหุ้น ทำไมถึงต้องขายทิ้งทั้งหมด?

การเดินทางของ BYD ในพอร์ตการลงทุนของ Berkshire Hathaway เริ่มเข้าสู่ช่วงท้าย เมื่อบริษัทเริ่มทยอยขายหุ้นออกเป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2022 ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนหลายคน การขายหุ้นเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ ล่าสุดในรายงานทางการเงินประจำไตรมาสแรกของปี 2025 ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่ามูลค่าการลงทุนใน BYD ของ Berkshire Hathaway Energy ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เป็น "ศูนย์" นั่นหมายความว่าได้มีการขายหุ้นทั้งหมดออกไปแล้วอย่างสมบูรณ์

แม้บัฟเฟตต์จะไม่ได้ให้เหตุผลอย่างเป็นทางการ แต่การวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญและข้อมูลที่เปิดเผยออกมา ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญหลายประการที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจครั้งนี้

ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk)

นี่คือเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่บัฟเฟตต์เคยกล่าวถึงในการขายหุ้น Taiwan Semiconductor (TSMC) เมื่อปี 2023 โดยเขาระบุว่า "โลกตอนนี้อันตรายเกินไป" ความตึงเครียดทางการค้าและเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การลงทุนในบริษัทจีนมีความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ในมุมมองของนักลงทุนที่เน้นความมั่นคงอย่างบัฟเฟตต์ อย่าลืมว่า Berkshire Hathaway คือ บริษัทโฮลดิ้ง ภายใต้การบริหารของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เน้นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ดังนั้นความเสี่ยงไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหน จึงไม่ใช่แนวทางที่เขาต้องการ

การแข่งขันที่ดุเดือดและสงครามราคา

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนเต็มไปด้วยคู่แข่งจำนวนมาก ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงและนำไปสู่ "สงครามราคา" ที่ลดทอนอัตรากำไรของทุกบริษัท แม้ BYD จะเป็นผู้นำ แต่การแข่งขันที่ไร้ขีดจำกัดอาจไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่เน้นความยั่งยืนของกำไรในระยะยาว

การทำกำไรครั้งใหญ่และการแสวงหาโอกาสใหม่

การลงทุนใน BYD ได้สร้างผลตอบแทนมหาศาล การขายหุ้นออกในจังหวะที่บริษัทประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด ทำให้ Berkshire Hathaway สามารถทำกำไรได้อย่างงดงาม และนำเงินจำนวนมหาศาลนี้ไปลงทุนในธุรกิจอื่นที่บัฟเฟตต์มองว่ามีโอกาสและมีความมั่นคงมากกว่าในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับหลักการลงทุนของเขา

ราคาหุ้นที่พุ่งสูงจนอาจถึงจุดอิ่มตัว

ในมุมมองของ Value Investor ที่มองหาหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าราคาที่แท้จริง เมื่อราคาหุ้นของ BYD พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนอาจสะท้อนถึงการเติบโตในอนาคตไปแล้วทั้งหมด การขายหุ้นเพื่อทำกำไรจึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล

บทสรุป

แน่นอนแม้การเคลื่อนไหวครั้งนี้จาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะสร้างความาสนใจ และทำให้นักลงทุนทั่วโลกเริ่มมองถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกของทั้ง BYD รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก แต่เมื่อมองจากการวิเคราะห์รวมถึงเหตุผลที่สนับสนุนแล้ว ก็มีแนวโน้มและความเป็นไปได้ถึงการถอนตัวออกจากหุ้น BYD ทั้งหมดของ Berkshire Hathaway มาจากการประเมินแล้วถึงจุดคุ้มค่าสูงสุดของมูลค่าหุ้นที่จะได้รับ และมองถึงในระยะเวลาข้างหน้าการเติบโตของมูลค่าหุ้น BYD อาจไม่ได้โตแบบก้าวกระโดดจนสร้างกำไรได้แบบที่ผ่านมาอีกต่อไป รวมถึงดีลขาออกในรอบนี้ได้สร้างกำไรและทุนมหาศาลให้ Berkshire Hathaway เพื่อนำไปลงทุนในธุรกิจที่ยังมีพื้นที่ให้เติบโตได้เหมือนกับ BYD ในระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา

แชร์
ทำไม วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขายหุ้น BYD? ทั้งที่ทำกำไรมหาศาลที่สุดในการลงทุน