เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75 % เศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยแน่ แลกกับกดเงินเฟ้อลง

ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% มาอยู่ที่ 3.00 – 3.25% จากเดิม  2.25-2.50% ซึ่งเป็นการขค้นดอกเบี้ยรอบที่ 5 ติดต่อกันและเป็นการขึ้นในระดับ 0.75% ติดต่อกัน 3 ครั้งแล้ว นับเป็นระดับดอกเบี้ยที่สูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี หรือนับจากธันวาคม 2561  ถือเป็นการดำเนินการที่เข้มงวดที่สุดของเฟด นับตั้งแต่ที่เฟดกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นเครื่องมือสำคัญด้านนโยบายการเงินในช่วงทศวรรษ 1990 โดยเป้าหมายหลักของการขึ้นดอกเบี้ยแรงของเฟดคือ จะพยายามทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับลงมาที่ 2%

สำหรับกรรมการเฟดผู้ที่ออกเสียงสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินของ FOMC ในการประชุมครั้งนี้ (21-22 ก.ย.)ได้แก่ เจอโรม เอช พาวเวล ประธานเฟด, จอห์น ซี วิลเลียมส์ รองประธานเฟด, ไมเคิล เอส บาร์, มิเชล ดับเบิลยู โบว์แมน, ลาเอล เบรนาร์ด, เจมส์ บูลลาร์ด, ซูซาน เอ็ม คอลลินส์, ลิซา ดี คุก, เอสเธอร์ แอล จอร์จ, ฟิลิป เอ็น เจฟเฟอร์สัน, ลอเร็ตตา เจ เมสเตอร์ และคริสโตเฟอร์ เจ วอลเลอร์

สำหรับการประชุมของเฟดยังเหลืออีก 2 ครั้งในปีนี้ คือ วันที่ 1-2 พ.ย. และ 13-14 ธ.ค.2565  

มุมมอง ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทยประเมินว่า ดอกเบี้ยสหรัฐฯจะอยู่ที่ 3 - 3.25% แต่การที่เงินเฟ้อที่ระดับ 8% กว่าจะลงมาที่ 2% ไม่ใช่เรื่องง่าย เฟดเคยเตือนว่าจะต้องยอมเจ็บ คือมีคนตกงาน บริษัทล้มละลาย จากที่เศรษฐกิจโตดีจะกลับมาเติบโตไม่ดี ไตรมาสนี้สหรัฐฯน่าจะโตได้ 0-1% หลังจากนี้ตลาดจะมีอะไรเซอร์ไพรส์อีกเยอะ”

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงต้นปี 66 และเป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นมาจากการที่เฟดนำดอกเบี้ยสูงมาใช้เพื่อที่จะสกัดการเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่การประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล เฟดระบุอยู่แล้วว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยก้าวใหญ่เป็นพิเศษอีก 1 ครั้งโดยที่ผ่านมามองว่าตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่เฟดคาดการณ์ไว้ และจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 3-3.25%

ส่วนโอกาสในการการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.00% มองว่ามีโอกาสไม่มากนัก เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันถือว่าดีกว่าเมื่อช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยอัตราเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวดีขึ้น ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มปรับตัวเข้าสู่สมดุลมากขึ้น ขณะปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมันปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ขายไม่ค่อยได้ และมีบ้านที่อยู่อาศัยเกินจำนวนถึง 11 เดือน โดยอยู่ระดับใกล้เคียงกับช่วงหลังเกิดวิกฤติซับไพร์ม

“หากเป็นลักษณะนี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มเข้าสู่ภาวะที่สมดุลมาขึ้น หากคนไข้อุณหภูมิไม่สูงเหมือนเดิมเริ่มลดลงมาแล้ว ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้อุณหภูมิกลับขึ้นไปอีกหายไป แล้วดูอาการต่างๆดีขึ้นกว่าเดิม ไม่น่าจะเป็นโรคร้ายที่รุกรามขึ้นได้ถ้าเป็นลักษณะนี้เชื่อว่าเฟดคงจะไม่อยากขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 1%”นายกอบศักดิ์ กล่าว

แนวโน้มตลาดหุ้นลดลง บาทอ่อนค่าต่อเนื่องหลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยแรง 

ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าแกว่งตัวลงตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวลง และตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนนี้นาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ 0.75% เป็นไปตามคาด แต่ประธานเฟดยังคงส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องไปจนถึงปี 66 และไม่มีท่าทีชะลอ ซึ่งสวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะเห็นการเริ่มลดดอกเบี้ยในปี 66 บ้าง ทำให้เป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้น

ขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯยังคงแข็งค่าต่อเนื่องกดดันสินทรัพย์อื่นๆ รวมถึงสินทรัพย์เสี่ยง และอาจจะมีแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทยเข้ามาเพิ่มเติมจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ซึ่งอาจจะเป็นแรงกดดันต่อหุ้นพลังงานในวันนี้ และมีผลต่อดัชนีด้วย โดยให้แนวต้าน 1,640-1,650 จุด แนวรับ 1,620-1,610 จุด

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 37.25 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจาก เย็นวานที่ปิดตลาดที่ระดับ 37.16 บาท/ดอลลาร์ โดยล่าสุดเงินบาทอ่อนค่ามาอยู่ที่ระดับ 37.34 บาท/ดอลลาร์ เช้านี้เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าตามทิศทางสกุลเงินอื่นในภูมิภาค โดยค่าเงินหลายสกุลเช้านี้ ปรับตัวอ่อนค่าสุดเป็นประวัติการณ์ เช่น เงินเปโซ ค่าเงินรูปี หลังจากเมื่อคืนนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.75% และประธานเฟด ยังออกมาส่งสัญญาณด้วยว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินเฟ้อต่อไป