
ท่ามกลางความตึงเครียดตามแนวชายแดน การปิดด่านการค้า และสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยลบหลายด้านพร้อมกัน จนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดคำถามว่าแรงสั่นสะเทือนจากปัจจัยเหล่านี้จะกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใดในระยะต่อไป
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า ผลกระทบโดยตรงต่อ GDP ไทยจากสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนอาจไม่ได้รุนแรงเท่าที่หลายฝ่ายกังวล เนื่องจากข้อจำกัดด้านการค้าชายแดนส่วนหนึ่งได้สะท้อนอยู่ในตัวเลขเศรษฐกิจแล้วจากการปิดด่านที่ลากยาวมาระยะหนึ่ง ขณะที่ความเสียหายจากอุทกภัยในภาคใต้ แม้จะสร้างแรงกระแทกต่อกิจกรรมเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก็คาดว่าการซ่อมแซมและฟื้นฟูในปี 2569 จะช่วยชดเชยมูลค่าความเสียหายกลับคืนมาในระบบ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่ากังวลมากกว่าคือ “ผลกระทบทางอ้อม” โดยเฉพาะต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน เมื่อประเทศไทยต้องเผชิญข่าวลบหลายด้านพร้อมกัน ทั้งภาพน้ำท่วม ความไม่สงบตามแนวชายแดน และความเปราะบางของสถานการณ์ในภูมิภาค ซึ่งอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ดร.พิพัฒน์อธิบายว่า หากดูเฉพาะ “ผลทางตรง” การส่งออกของไทยไปกัมพูชามีสัดส่วนราว 2-3% ของการส่งออกทั้งหมด และในจำนวนนั้นกว่า 70% เป็นการค้าชายแดน ซึ่งถูกกระทบไปก่อนหน้านี้แล้วจากการปิดด่านต่อเนื่อง ดังนั้น การปะทะที่เกิดขึ้นล่าสุดจึงไม่น่าทำให้ผลกระทบทางตรงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเชิงตัวเลขมหภาค แม้จะมีความเสียหายต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ที่ประเมินมูลค่าได้ยาก
เมื่อมองในเชิงบัญชีประชาชาติ การชะงักของการค้าชายแดนย่อมสะท้อนผ่านการส่งออกที่หายไปบางส่วน แต่ในภาพรวมของเศรษฐกิจไทย ผลกระทบลักษณะนี้ยังจัดว่าอยู่ในวงจำกัด ดร.พิพัฒน์จึงย้ำว่า หากมองในเชิงตัวเลข ผลกระทบทางตรงต่อ GDP ของเหตุการณ์ความไม่สงบไม่น่าทำให้ตัวเลข GDP ทั้งปีของไทยเปลี่ยนทิศทาง
แต่ความเสี่ยงที่ประเมินยากคือ “ผลสะสมทางจิตวิทยา” การมีทั้งน้ำท่วมในภาคใต้และเหตุปะทะกันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกในจังหวะเดียวกับฤดูกาลท่องเที่ยว อาจทำให้ภาพลักษณ์ประเทศถูกตั้งคำถาม และส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ในโครงสร้างเศรษฐกิจไทย
สำหรับประเด็นน้ำท่วม ดร.พิพัฒน์ประเมินว่า ผลกระทบต่อ GDP ปี 2568 น่าจะอยู่ราว 0.1% ซึ่งถือว่าไม่สูงนัก และบางส่วนจะถูกชดเชยด้วยการใช้จ่ายในการซ่อมแซมและฟื้นฟู ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน บ้านเรือน หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้าง
ดร.พิพัฒน์มองว่าด้วยเหตุที่น้ำท่วมเกิดในช่วงปลายปี จึงไม่น่าฉุดตัวเลข GDP ทั้งปีอย่างมีนัยสำคัญ ภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังประเมินไว้ใกล้ระดับ 2% อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องจับตาคือ GDP ไตรมาส 4 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 หากออกมาติดลบต่อเนื่อง อาจเข้าสู่ภาวะ “ถดถอยทางเทคนิค” ซึ่งอาจสร้างแรงกระเพื่อมหรือเป็นที่พูดถึงบ้าง แม้โดยสาระเชิงเศรษฐกิจจะไม่ได้เปลี่ยนภาพใหญ่ไปมากนัก
ในปี 2569 ดร.พิพัฒน์คาดว่า การฟื้นฟูภายหลังน้ำท่วมจะกลายเป็นแรงส่งบวก โดยอาจเติมการเติบโตให้ GDP ได้ราว 0.1-0.2% ซึ่งจะช่วยชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นในปีนี้ ภายใต้ประมาณการเศรษฐกิจปีหน้าในกรอบ 1.6-1.8% การฟื้นตัวจากภาคก่อสร้างและการใช้จ่ายในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยหนุนที่สำคัญ
เมื่อหันมาที่ตลาดหุ้น ดร.พิพัฒน์มองว่า ตัวแปรที่สำคัญกว่าดัชนีคือ “แนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียน” ซึ่งยังเผชิญข้อจำกัดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่สูงนัก ในภาวะแบบนี้ การเห็นบริษัทปรับโครงสร้างต้นทุน บริหารเงินทุน และคืนเงินให้ผู้ถือหุ้นมากขึ้น ผ่านการซื้อหุ้นคืนและเพิ่มเงินปันผล สะท้อนว่าภาคธุรกิจจำนวนไม่น้อยกำลังเลือก “สร้างมูลค่า” ผ่านวินัยทางการเงินมากกว่าการขยายการลงทุนเชิงรุก
เชิงกลยุทธ์ ฝ่ายวิจัยเกียรตินาคินภัทรประเมินเป้าดัชนี SET ปี 2569 ที่ 1,330 จุด จากปี 2568 ที่ 1,360 จุด โดยคาด EPS ตลาดปีหน้าราว 85 บาท เติบโต 3.7% และจะขยับเป็น 89 บาทในปี 2570 หรือเติบโต 4.7% ธีมการลงทุนยังคงเน้นกลุ่มที่มีรายได้มั่นคงและการบริหารทุนที่ดี กลุ่มโทรคมนาคมและธนาคารพาณิชย์ถูกมองว่าเป็นฐานกำไรที่ทนทาน โรงแรมผูกกับการฟื้นตัวท่องเที่ยว และโรงพยาบาลสอดคล้องกับโครงสร้างสังคมสูงวัย ขณะที่กลุ่มวัสดุก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม และสื่อ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังด้านการลงทุน
ในส่วนของมาตรการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล Thailand Individual Savings Account หรือ TISA ดร.พิพัฒน์ระบุว่า ยังต้องรอรายละเอียดจากภาครัฐ โดยเฉพาะเงื่อนไขสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยภายในวงเงิน 8 แสนบาท ซึ่งจะเป็นตัวแปรชี้ขาดว่ามาตรการนี้จะกระตุ้นตลาดหุ้นได้มากเพียงใด หากมองจากมุม “ผู้ออม” ดร.พิพัฒน์เห็นว่าควรเปิดกว้างให้ลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์เพื่อเพิ่มโอกาสผลตอบแทนระยะยาว เนื่องจาก TISA เป็นการออมเพื่อเกษียณ ไม่ใช่มาตรการระยะสั้นแบบ LTF ในอดีต
ขณะเดียวกัน หากมองในเชิงนโยบายตลาดทุน ภาครัฐย่อมต้องการให้เงินออมหมุนเข้าสู่หุ้นไทยมากขึ้น แต่โจทย์คือจะออกแบบอย่างไรไม่ให้กระทบสิทธิของผู้ลงทุนจนเกินไป โดยดร.พิพัฒน์สรุปว่า TISA เป็นมาตรการที่มีประโยชน์แน่นอน แต่ “น้ำหนักของผลลัพธ์” จะขึ้นกับรายละเอียดเชิงเทคนิคเป็นหลัก หากออกแบบสมดุลได้ดี มาตรการนี้ไม่เพียงช่วยตลาดทุน แต่ยังส่งเสริมวัฒนธรรมการออมในระยะยาวของประเทศควบคู่กันไป