
ประเทศไทยเคยยืนอยู่แถวหน้าของเอเชียในยุคโลกาภิวัตน์ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งก็พบว่าความได้เปรียบนั้นค่อยๆ เลือนหาย เศรษฐกิจโตช้าลง ผลิตภาพไม่กระเตื้อง และการลงทุนใหม่ไม่ไหลบ่าเหมือนในอดีต ขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ “ระเบียบใหม่” จากแรงกดดันของภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และการหดตัวของการค้าเสรี ปรากฏการณ์ “โลกาภิวัตน์ย้อนกลับ” (Deglobalization) จึงไม่ใช่เพียงฉากหลังของเศรษฐกิจโลก หากเป็นบททดสอบว่าประเทศใดพร้อมปรับตัว และประเทศใดกำลังติดกับดักโครงสร้างเดิมของตนเอง
บนเวทีเสวนา “Driving in the Wave of Deglobalization แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจในกระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ” ในงาน SPOTLIGHT DAY 2025 คุณบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ชี้ว่า ไทยอาจกำลังเผชิญภาวะ “โตไม่ออก” ในระยะยาว โดยต้นตอไม่ได้อยู่ที่เศรษฐกิจโลกหรือโชคชะตาภายนอก หากเป็นจุดอ่อนเชิงสถาบันของประเทศเอง ตั้งแต่คุณภาพประชาธิปไตย หลักนิติธรรม การศึกษา การคอร์รัปชัน ไปจนถึงเสรีภาพทางเศรษฐกิจที่ถดถอยพร้อมกัน ทั้งหมดเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายปัญหาที่กดทับการแข่งขัน การลงทุน และนวัตกรรม
คุณบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวบนเวทีเสวนา “Driving in the Wave of Deglobalization แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจในกระแสโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ” ภายในงาน SPOTLIGHT DAY 2025 ภายใต้ธีม “New World Order เศรษฐกิจไทยในระเบียบโลกใหม่” เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ว่า คำว่า “ระเบียบโลกใหม่” และ “โลกาภิวัตน์ย้อนกลับ” ไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ใหม่ หากต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจจุดเริ่มต้นของโลกาภิวัตน์ตั้งแต่ยุคหลังสงครามเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศในค่ายสังคมนิยมแบบมาร์กซิสต์ล้มระบบเศรษฐกิจรวมศูนย์และหันมาใช้กลไกตลาดเป็นหลัก ทำให้ทั้งโลกเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเดียวกัน และเกิดการไหลเวียนของเงินทุน เทคโนโลยี และแรงงานข้ามพรมแดนอย่างกว้างขวาง
คุณบรรยงระบุว่า โลกาภิวัตน์ในความหมายเชิงเศรษฐกิจเริ่มเห็นชัดเจนราวปี 2528 และขยายตัวต่อเนื่องมาจนถึงช่วงประมาณปี 2558-2563 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกเติบโตในอัตราสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เฉลี่ยราว 4.5-5% ต่อปีเป็นเวลายาวนาน พร้อมกับปรากฏการณ์ที่ประเทศกำลังพัฒนาเติบโตเร็วกว่าโลกพัฒนาแล้วมากกว่าสองเท่า จีนเคยขยายตัวระดับ 10% ต่อปี ขณะที่เวียดนามซึ่งละทิ้งระบบสังคมนิยมก็เติบโตอย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่นาน
ในทางตรงกันข้าม คุณบรรยงชี้ว่า ประเทศไทยกลับได้ประโยชน์จากกระแสโลกาภิวัตน์เพียงช่วงแรก ระหว่างปี 2528-2540 ที่เศรษฐกิจเติบโตในระดับใกล้ 10% ต่อปี ก่อนจะเข้าสู่ยุคเติบโตต่ำยาวนาน หลังปี 2543 มีเพียง 3 ปีเท่านั้นที่อัตราการเติบโตของไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และหนึ่งในนั้นเป็นปีหลังมหาอุทกภัย ซึ่งเศรษฐกิจฟื้นตัวแรงเพราะฐานที่ตกต่ำก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่านี่ไม่ใช่การเติบโตอย่างยั่งยืน แต่เป็นการดีดตัวชั่วคราวจากเหตุการณ์พิเศษ
คุณบรรยงระบุว่า สาเหตุหลักไม่ได้อยู่ที่ปัจจัยภายนอกหรือวัฏจักรเศรษฐกิจโลก แต่อยู่ที่ “โครงสร้างเชิงสถาบัน” ของประเทศไทยที่ไม่แข็งแรงและไม่เอื้อต่อการพัฒนา โดยยกแนวคิด Inclusive Institution มาอธิบายว่า ความสามารถในการเติบโตของประเทศขึ้นกับคุณภาพของสถาบันหลัก 5 ด้าน ได้แก่ ประชาธิปไตย การคอร์รัปชัน เสรีภาพทางเศรษฐกิจ การศึกษา และหลักนิติธรรม ซึ่งประเทศไทยมีผลงานถดถอยลงในทุกดัชนีอย่างพร้อมเพรียง
คุณบรรยงยกตัวอย่างว่า ดัชนีหลักนิติธรรมของไทยเคยอยู่อันดับประมาณ 50 ของโลก ปัจจุบันถอยมาอยู่แถวอันดับ 82 ขณะที่ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index) จากเดิมอยู่ราวอันดับ 70 ลดลงมาอยู่แถวอันดับ 108 หรือแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด โดยตั้งคำถามว่าสาเหตุใดดัชนีทั้ง 5 ด้านจึงถดถอยพร้อมกัน ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงระบบมากกว่าความบังเอิญ
ในมุมมองของคุณบรรยง ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยสามารถสรุปได้ว่า “ประชาธิปไตยไม่จริง ชิงกันโกง ทางโล่งทุนใหญ่ ไม่ใฝ่การเรียน เซียนคุมศาล” ซึ่งทั้งหมดเชื่อมโยงกันเป็นวงจรที่กดทับศักยภาพการเติบโต และเร่งให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมขยายตัวเร็วขึ้น
อย่างไรก็ดี คุณบรรยงประเมินว่า ประเทศไทยไม่น่าจะเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงในระยะใกล้ เพราะระบบการเงินยังมีเสถียรภาพค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในมิติของวินัยการคลังที่ภาครัฐยังตระหนักและควบคุมได้พอสมควร พร้อมระบุว่า รองนายกรัฐมนตรีเองก็ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้เป็นพิเศษ ขณะที่กลไกตลาดจะเป็นตัวคานไม่ให้การดำเนินนโยบายการคลังและการเงินผิดพลาดจนเลยจุดที่รับไหวได้
คุณบรรยงทิ้งท้ายในประเด็นนี้ว่า สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่วิกฤตฉับพลัน แต่เป็นภาวะ “โตไม่ออก” ในระยะยาว ซึ่งหากไม่ปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบันอย่างจริงจัง ประเทศไทยอาจเผชิญกับการชะลอตัวเรื้อรังและความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้น ท่ามกลางโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระเบียบใหม่อย่างรวดเร็ว
นอกเหนือจากปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม คุณบรรยงยังได้หยิบยกหนึ่งโจทย์สำคัญที่กำลังกัดกินขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นั่นคือ “ภาครัฐที่ใหญ่เกินไป” จนทำให้ภาคเอกชนจำนวนมากหันไปทุ่มเททำธุรกิจกับภาครัฐ แทนที่จะพัฒนากิจกรรมที่สร้างศักยภาพเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยและพัฒนา การผลิต หรือการส่งออก
คุณบรรยงแบ่งภาคเอกชนไทยออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ค้ากับลูกค้าและตลาดโลก ซึ่งทำสินค้าเพื่อการส่งออกหรือทดแทนนำเข้า กลุ่มกิจการในประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องกับการส่งออก เช่น โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และค้าปลีก และสุดท้ายคือกลุ่มที่ค้ากับรัฐ ซึ่งคุณบรรยงระบุว่าเป็นกลุ่มที่ทำกำไรมากที่สุด
คุณบรรยงตั้งข้อสังเกตว่าเหตุผลที่ค้ากับรัฐแล้วรวยนั้น เป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เพราะทุกคนรู้อยู่แล้ว พร้อมย้ำว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่มีคำตอบแบบ “ควิกวิน” แก้จบภายในสี่เดือนได้ แต่เป็นโจทย์เชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลา อย่างน้อยต้องเริ่มจากการทำให้รัฐ “เล็กลง” “โปร่งใสขึ้น” และมีบทบาทเท่าที่จำเป็น
ในมุมมองของคุณบรรยง ปัจจุบัน รัฐไทย “ใหญ่เกินไป” ในสามมิติ ได้แก่ ขนาด บทบาท และอำนาจ ซึ่งล้วนขยายตัวเกินความเหมาะสม โดยขนาดภาครัฐเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จำนวนข้าราชการและพนักงานราชการจากราว 2.2 ล้านคน ขยับขึ้นเป็น 3.2 ล้านคนในเวลาไม่ถึงสิบปี ส่งผลให้งบประมาณฝ่ายประจำพุ่งขึ้นกินสัดส่วนราว 70% ของงบทั้งหมด โดยเฉพาะงบเงินเดือนและสวัสดิการที่สูงเกือบ 60% ทำให้พื้นที่สำหรับงบพัฒนาหดแคบลงอย่างต่อเนื่อง
คุณบรรยงยังเตือนว่า การมองว่าภาครัฐไทย “ไม่ใหญ่” จากสัดส่วนงบประมาณต่อจีดีพีนั้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะเมื่อเทียบกับยุโรปเหนือซึ่งใช้งบมากกว่า 50% ของจีดีพีไปกับสวัสดิการประชาชน เงินของรัฐไทยกว่า 80% กลับเป็นงบดำเนินการ นอกจากนี้ ขนาดที่แท้จริงของรัฐยังขยายผ่านรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีสินทรัพย์รวมมากกว่า 20 ล้านล้านบาท ใช้งบรายจ่ายปีละราว 6 ล้านล้านบาท เกือบสองเท่าของงบประมาณแผ่นดิน
หากประเทศมีปัญหาคอร์รัปชันจริง คุณบรรยงชี้ว่าจุดที่น่ากังวลยิ่งกว่างบประมาณปกติ คือระบบรัฐวิสาหกิจซึ่งมีขนาดใหญ่และครอบครองโครงสร้างพื้นฐานเกือบทั้งหมด เมื่อบริหารแบบผูกขาด ไร้ประสิทธิภาพ และต้นทุนสูง ก็ยิ่งฉุดรั้งระบบเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้โดยตรง
ท้ายที่สุด คุณบรรยงสรุปว่า เมื่อผลตอบแทนสูงสุดอยู่ในฝั่งที่ค้ากับรัฐ ทรัพยากรและคนเก่งย่อมไหลไปกองรวมกันที่จุดนั้นโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้เกิดการลงทุนล้นเกินในภาคที่ไม่ได้เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างแท้จริง
นอกจากภาครัฐที่ใหญ่เกินควรแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่คุณบรรยงมองว่าเป็นปัญหาโครงสร้างของไทยคือระบบที่ให้หน่วยงานเจ้าของกระบวนการเป็นผู้ทบทวนตัวเอง ซึ่งในทางปฏิบัติไม่เคยนำไปสู่การปฏิรูปที่แท้จริง เพราะแทบไม่มีใครลุกขึ้นมา “รื้อระบบของตัวเอง” อย่างจริงจัง ผลที่เกิดขึ้นคือ หลายหน่วยงานสรุปว่าทุกอย่างยังดีอยู่แล้ว บางแห่งกลับเพิ่มขั้นตอนเข้าไปอีกด้วยซ้ำ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต้องใช้แนวคิด Regulatory Guillotine เพื่อตัดกฎระเบียบที่ซ้ำซ้อนและไม่จำเป็นออกโดยตรง แทนการรอให้เจ้าของงานแก้ไขกันเอง
อย่างไรก็ดี แม้ไทยจะนำแนวทาง Regulatory Guillotine มาใช้ต่อเนื่องราว 8 ปี และทบทวนกระบวนการไปจำนวนมากแต่ยังแก้ไขได้เพียงประมาณครึ่งเดียว เมื่อเทียบกับเกาหลีใต้ที่ใช้เวลาเพียง 11 เดือน แก้ไขกฎระเบียบไปกว่า 4,000 รายการ สะท้อนถึงความล่าช้าผิดปกติของระบบไทย
คุณบรรยงชี้ว่ามี 4 เหตุผลหลักที่ทำให้การปฏิรูปกฎระเบียบของไทยไม่คืบหน้า ประการแรก คือ political will ที่ยังไม่ชัดเจน เพราะระดับผู้นำของประเทศยังไม่ได้ยกเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง ต่างจากเกาหลีใต้ที่ประธานาธิบดีลงมาขับเคลื่อนด้วยตนเอง
ประการที่สอง คือการไม่มีหน่วยงานถาวรรับผิดชอบโดยตรง งานถูกฝากไว้กับสำนักงาน ก.พ.ร. ซึ่งไม่ใช่ภารกิจหลัก ส่งผลให้ขาดเจ้าภาพที่ต้อง “รับผิดรับชอบ” อย่างแท้จริง
ประการที่สาม คือเงื่อนไขที่กำหนดให้ต้องขอความเห็นชอบจากเจ้าของกฎหมายก่อนทุกครั้ง ซึ่งทำให้การตัดลดกฎระเบียบแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะเจ้าของกฎหมายมักยืนยันว่ากฎหมายของตนยังจำเป็น
ประการสุดท้าย คือโครงสร้างคณะกรรมการที่มีนักกฎหมายเป็นเสียงส่วนใหญ่ รวมถึงตำแหน่งประธานที่มักมาจากสายกฎหมาย ทำให้กระบวนการตัดสินใจเต็มไปด้วยความระมัดระวังเชิงกฎหมายมากกว่ามุมมองเชิงเศรษฐกิจและประสิทธิภาพ
โดยสรุป คุณบรรยงระบุว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความสามารถของบุคคล แต่เป็นกับดักเชิงโครงสร้างที่ทำให้การรื้อกฎระเบียบของไทยเดินช้ากว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
นอกจาก 2 ประเด็นข้างต้น คุณบรรยง ระบุว่า อีกประเด็นที่ตั้งใจหยิบยกมาคุยในการเสวนาครั้งนี้คือ “การเปิดเสรีด้านสินค้าและบริการ” พร้อมยกงานวิจัยประกอบว่า ในช่วงโลกาภิวัตน์ระหว่างปี 2528-2539 และตลอดทศวรรษ 1990s หรือ พ.ศ. 2533 ถึง พ.ศ. 2542 ไทยมีการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity Improvement) อยู่ในระดับสูงมาก เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ยราว 8-9% ต่อปี โดยการเพิ่มผลิตภาพเดินไปในทิศทางเดียวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ
คุณบรรยงอธิบายว่า ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นยุคที่โครงสร้างการผลิตของประเทศเปลี่ยนผ่านจากเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมอย่างชัดเจน ภาคอุตสาหกรรมเติบโตจนมีขนาดใหญ่ที่สุด สินค้าที่ผลิตจำนวนมากเป็นสินค้าส่งออกหรือสินค้าทดแทนการนำเข้า ซึ่งจำเป็นต้องมีผลิตภาพสูง มิฉะนั้นจะไม่สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ อีกทั้งการเติบโตเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่มาพร้อมทั้งเงินทุน เทคโนโลยี และระบบบริหารจัดการ ทำให้การยกระดับผลิตภาพเกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตาม คุณบรรยงชี้ว่า หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศไทยค่อยๆ เปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจบริการ ซึ่งในเชิงทฤษฎีถือเป็นพัฒนาการตามแบบประเทศพัฒนาแล้ว เพราะเมื่อเศรษฐกิจเติบโตระดับหนึ่ง ภาคบริการจะมีบทบาทมากขึ้น แต่เมื่อพิจารณา “ไส้ใน” ของธุรกิจบริการในไทย กลับพบว่าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม ์Non-tradable Sectors เช่น ธนาคาร ค้าปลีก โทรคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน การผลิตไฟฟ้า รวมถึงสายการบิน และการค้ากับภาครัฐ โดยแทบทุกภาคส่วนมีกฎหมายหรือกติกาบังคับให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องเป็นคนไทย หรือกำหนดให้ต้องมีพาร์ตเนอร์ไทย
คุณบรรยงอธิบายว่า กติกาดังกล่าวทำให้เกิด “กำแพงกันคู่แข่ง” ทางอ้อม สินค้าและบริการมีการปกป้องจากการแข่งขันของต่างชาติ หนึ่งคือกันไม่ให้ผู้เล่นที่เก่งที่สุดเข้ามาแข่งขันโดยตรง สองคือโครงสร้างตลาดเอื้อต่อการเกิดกึ่งผูกขาดหรือผูกขาด และสามารถฮั้วกันได้ และสามคือเป็นธุรกิจที่อำนาจรัฐช่วยเกื้อหนุนได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นสัมปทาน ใบอนุญาต หรือเงื่อนไขทางกฎหมาย ผลลัพธ์คือ เกือบทุกอุตสาหกรรมที่ได้รับการโพรเทคชันพบว่าการเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
คุณบรรยงยกกรณีภาคธนาคารเป็นตัวอย่าง โดยระบุว่าภาคธนาคารไทยเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่สะท้อนปัญหาดังกล่าวอย่างชัดเจน ทั้งในมิติประสิทธิภาพและความสามารถในการสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น ธนาคารไทยส่วนใหญ่มีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี สะท้อนว่าตลาดไม่เชื่อว่าธุรกิจธนาคารจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในระดับที่น่าพอใจ คุณบรรยงชี้ว่า ธนาคารไทยไม่ได้ “รวย” อย่างที่เข้าใจกัน และไม่ได้ “กำไรดีเลิศ” อย่างที่ถูกวิจารณ์เป็นประจำ
คุณบรรยงแจกแจงสาเหตุหลักสามประการ ประการแรกคือขาดแรงกดดันด้านการแข่งขัน ธนาคารไทยแข่งขันกันเองในตลาดปิด โดยไม่ต้องเผชิญคู่แข่งระดับโลก จึงไม่มีแรงผลักให้เร่งยกระดับประสิทธิภาพและนวัตกรรม ประการที่สองคือภาระต้นทุนด้านเสถียรภาพ คุณบรรยงระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารไทยต้องดำรงเงินกองทุนและเงินสำรองสูงกว่ามาตรฐานสากลเกือบเท่าตัว เพื่อแลกกับเสถียรภาพทางการเงิน แต่เงื่อนไขเหล่านี้ล้วนเป็นต้นทุน และต้นทุนดังกล่าวถูกผลักไปยังลูกค้าในที่สุด
ประการที่สามคือความไม่เป็นธรรมของระบบกฎหมาย โดยเฉพาะการจัดการหนี้เสีย กรณีลูกหนี้ที่อยู่อาศัยอาจสามารถอยู่ในทรัพย์สินได้ราว 5 ปีก่อนถูกบังคับย้ายออก แม้ดูเหมือนเป็นธรรมต่อผู้กู้ แต่ต้นทุนกลับตกอยู่กับสถาบันการเงิน และยิ่งหนักกว่าสำหรับเอสเอ็มอี ซึ่งกระบวนการบังคับคดีอาจลากยาวถึง 10-15 ปี เมื่อหนี้เสียใช้เวลาฟื้นตัวนานขนาดนี้ ความเสียหายของธนาคารจึงสูงมาก และยิ่งทำให้ภาคธนาคารไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี
คุณบรรยงเสนอแนวทางแก้เบื้องต้นว่า ควรออกคำสั่งให้ธนาคารวิเคราะห์เครดิตโดยอิงงบที่ยื่นต่อสรรพากรเป็นหลัก เพื่อยกระดับคุณภาพการประเมินความเสี่ยง และในขณะเดียวกันจะช่วยบังคับให้เอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบภาษีอย่างจริงจัง คุณบรรยงระบุว่า เอสเอ็มอีจำนวนมากมีงบการเงิน “สามชุด” งบที่แย่ที่สุดส่งให้รัฐ งบที่ดีที่สุดให้ธนาคาร และงบจริงเก็บไว้ใช้ภายใน ทำให้ธนาคารไม่สามารถประเมินฐานะกิจการได้อย่างแท้จริง เมื่อรวมกับปัญหาหลักประกันที่ใช้เวลาดำเนินคดีนาน ความเสี่ยงของการปล่อยกู้จึงสูงผิดปกติ