
การยกเลิกเพดาน De Minimis ที่จะเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2569 กำลังจะปิดฉากยุค “ของถูกจากต่างประเทศ” ที่เคยหลั่งไหลเข้ามาโดยแทบไม่เสียภาษี มาตรการใหม่กำหนดให้สินค้านำเข้าทุกชิ้นต้องเสียภาษีเต็มรูปแบบ เปลี่ยนสมดุลการแข่งขันที่เคยเอียงไปทางผู้ขายต่างชาติ กลับมาปกป้องผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SME ที่แบกรับต้นทุนสูงกว่า ขณะเดียวกันยังเป็นความพยายามจัดระเบียบสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและเสี่ยงอันตราย ซึ่งเคยผ่านเข้าประเทศได้ง่ายภายใต้กฎเดิม
เมื่อกฎใหม่เริ่มใช้ ราคาสินค้านำเข้าที่เคยเข้าถึงง่ายจะขยับสูงขึ้นทันที ขณะที่ผู้ค้าออนไลน์ต้องแบกรับต้นทุนด้านภาษี เอกสาร และระยะเวลาขนส่งที่อาจนานขึ้น มาตรการนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องภาษี แต่คือการพลิกโฉมระบบการค้าออนไลน์ไทยทั้งระบบ ตั้งแต่โครงสร้างราคา ไปจนถึงทางเลือกของผู้บริโภค และจะเป็นจุดเริ่มต้นของปีที่ทดสอบความสามารถในการปรับตัวของทั้งผู้ขายและผู้ซื้อพร้อมกัน
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กรมศุลกากรประกาศยกเลิกเพดานมูลค่าขั้นต่ำ หรือ De Minimis และเตรียมจัดเก็บอากรสินค้านำเข้าทุกชิ้นตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป มาตรการนี้มุ่งควบคุมสินค้าที่สั่งซื้อโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศ แต่กลับได้รับการยกเว้นภาษี จนทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SME
ทิศทางใหม่นี้ถูกกำหนดขึ้นหลังธุรกิจในประเทศเผชิญแรงกดดันจากสินค้าราคาต่ำที่หลั่งไหลเข้ามาโดยแทบไม่ต้องเสียภาษี ภายใต้กฎ De Minimis ที่กำหนดให้สินค้าต่ำกว่า 1,500 บาทได้รับการยกเว้นทั้งอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม เดิมมาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้า แต่เมื่อปริมาณคำสั่งซื้อข้ามประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบผู้ขายต่างชาติที่ไม่ต้องรับภาระต้นทุนเดียวกัน
ในเดือนกรกฎาคม 2567 ไทยเริ่มจัดเก็บ VAT จากสินค้านำเข้าทุกรายการ แต่ยังยกเว้นอากรในกลุ่มสินค้าราคาต่ำ ส่งผลให้กระแสสินค้าราคาถูกและไม่ได้มาตรฐานยังคงทะลักเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สินค้าจำนวนมากไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพหรือมาตรฐาน เช่น มอก. จึงเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ขณะเดียวกันยังสร้างแรงกดดันเชิงโครงสร้างต่อระบบอุตสาหกรรมภายในประเทศ
มาตรการใหม่กำหนดให้มูลค่าขั้นต่ำที่ได้รับการยกเว้นอากรเหลือเพียง 1 บาท หมายความว่าสินค้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไปจะถูกจัดเก็บทั้งภาษีนำเข้าและ VAT ครบถ้วน การปรับเพดานสามารถทำได้ตามอำนาจของอธิบดี โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 หลังประกาศเดิมสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568
กรมศุลกากรประเมินว่ามาตรการนี้จะช่วยเพิ่มรายได้รัฐประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีอัตราอากรเฉลี่ยราว 10% และ VAT 7% อีกทั้งยังวางแผนผลักดันการแก้กฎหมายเพื่อให้เกิดระบบจัดเก็บภาษีนำเข้าออนไลน์แบบอัตราเดียวสำหรับสินค้าต่างประเทศทุกประเภทในอนาคต
เพื่อให้การจัดเก็บภาษีใหม่มีประสิทธิภาพ กรมได้เริ่มหารือกับแพลตฟอร์มอย่าง Shopee และ Lazada เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เพื่อเชื่อมระบบข้อมูลการนำเข้าให้ตรวจสอบได้ตั้งแต่ต้นทาง ทั้งมูลค่า จำนวนสินค้า อากร และ VAT พร้อมประสานให้แพลตฟอร์มหยุดจำหน่ายสินค้าต้องห้าม เช่น บุหรี่ไฟฟ้า หรือสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน มอก.
การปรับเพดานภาษีครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดมาตรการภายใต้นโยบาย “Customs Quick Big Win” ที่กรมตั้งเป้าให้เห็นผลภายในสี่เดือน โดยมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการปกป้องสังคม และสร้างระบบจัดเก็บรายได้รัฐที่เป็นธรรม มาตรการเร่งด่วนประกอบด้วยการปรับลดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า การเร่งคืนภาษี เงินประกัน และเงินชดเชยให้ผู้ประกอบการ เพื่อเสริมสภาพคล่องโดยจัดลำดับการพิจารณาเคสที่มีวงเงินสูงก่อน
กรมยังเตรียมเดินหน้าปราบปรามสินค้าผิดกฎหมาย สินค้าทุ่มตลาด และสินค้าปลอมแปลงถิ่นกำเนิดอย่างจริงจัง ความพยายามทั้งหมดนี้สะท้อนแนวทางยกระดับบทบาทของกรมศุลกากรในการสร้างสมดุลระหว่างการอำนวยความสะดวกทางการค้า การคุ้มครองผู้บริโภค และการเพิ่มรายได้รัฐเพื่อเสริมฐานเศรษฐกิจของประเทศ
ก่อนที่ไทยจะเดินหน้าในทิศทางเดียวกัน สหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เองก็ได้ประกาศยุติการยกเว้นอากรตามกฎ De Minimis สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากทุกประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2568 ยุติบทบาทกฎที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเปิดทางให้นำเข้าสินค้ามูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐโดยไม่เสียภาษี เมื่อกฎหมดอายุ พัสดุขนาดเล็กที่เคยผ่านศุลกากรได้โดยไม่ต้องเสียภาษีจะต้องถูกตรวจสอบและเสียภาษีตามอัตราของประเทศผู้ส่งออกที่อยู่ระหว่างประมาณ 10%-50% ส่งผลให้ต้นทุนของการค้าข้ามพรมแดนเพิ่มขึ้นในทันที
ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนสหรัฐฯ เติบโตอย่างรวดเร็ว มูลค่าการขายเพิ่มขึ้นถึง 858% ระหว่างปี 2557-2567 แตะ 113,000 ล้านดอลลาร์ ขับเคลื่อนโดยแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ดึงผู้ขายจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันด้วยราคาต้นทุนต่ำ จากการเติบโตดังกล่าว ผู้ขายบุคคลที่สามมีบทบาทมากขึ้นจนคิดเป็น 30% ของยอดขายอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ ในปี 2567 เพิ่มจาก 16% ในปี 2557 ทำให้แพลตฟอร์มอย่าง Shein, Temu และผู้ขายรายย่อยมีช่องทางเข้าถึงผู้บริโภคสหรัฐฯ ได้ง่ายกว่าที่เคย
ดังนั้น เมื่อการยกเว้นภาษีถูกยุติลง ผลกระทบต่อผู้ประกอบการจึงชัดเจน ศาสตราจารย์เรย์มอนด์ โรเบิร์ตสัน จากมหาวิทยาลัยเทกซัส A&M ประเมินว่า ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการจะเพิ่มขึ้นอย่างมากควบคู่กับภาษีที่สูงขึ้น และทั้งหมดจะสะท้อนกลับไปยังราคาสินค้า
ในหลายกรณี ผู้ขายรายเล็กที่มีมาร์จิ้นกำไรบางอยู่แล้วก็ต้องแบกรับความเสี่ยงว่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคา หรืออาจต้องถอนตัวจากตลาดสหรัฐฯ ไปโดยปริยาย นอกจากนี้ การย้ายคลังสินค้าเข้ามาในสหรัฐฯ แม้เป็นทางออก แต่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและไม่เหมาะกับผู้ขายรายเล็กจำนวนมาก
ผลกระทบต่อผู้บริโภคก็เริ่มชัดเจนขึ้นเช่นกัน ราคาสินค้าต้นทุนต่ำที่เคยเข้าถึงได้ง่ายจะปรับตัวสูงขึ้นจากภาระภาษีนำเข้าและต้นทุนการปฏิบัติตามกฎใหม่ ผู้ค้าปลีกจากต่างประเทศต้องตัดสินใจว่าควรรับภาระภาษีเองหรือผลักให้ลูกค้า ซึ่งในหลายกรณี ผู้ประกอบการก็เลือกผลักภาระผ่านการขึ้นราคา โดยแม้ผู้ขายบางรายอาจลองลดราคาส่งเพื่อลดผลกระทบต่อผู้ซื้อ แต่ช่องว่างดังกล่าวมีจำกัด อีกทั้งต้นทุนด้านเอกสาร การประกาศราคาใหม่ และการประเมินภาษีล่วงหน้าก่อนส่งพัสดุ ล้วนเพิ่มต้นทุนธุรกรรมที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ขณะเดียวกัน ความล่าช้าในการขนส่งกลายเป็นอีกปัญหาหลัก จากเดิมพัสดุอาจใช้เวลาเพียง 5-10 วัน แต่การตรวจภาษีและเอกสารล่วงหน้าทำให้ระยะเวลาขนส่งเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 20 วันในหลายกรณี ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลต่อธุรกิจแฟชั่นและสินค้าที่เปลี่ยนฤดูกาลเร็วเป็นพิเศษ ผู้ขายที่เคยใช้ระบบ “จัดส่งชิ้นต่อชิ้นจากต่างประเทศ” เพื่อรักษาต้นทุนต่ำกำลังเผชิญต้นทุนด้านเวลาและความเสี่ยงต่อการส่งไม่ทันตามรอบผลิตและรอบขาย
จากผลกระทบทั้งหมดนี้ การยุติ De Minimis จึงเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างต้นทุนของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนทั้งระบบ ทั้งสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องปรับโมเดลธุรกิจใหม่ และผู้บริโภคที่ต้องเผชิญราคาที่สูงขึ้น ตัวเลือกที่น้อยลง และเวลาขนส่งที่ยาวนานกว่าเดิม
อ้างอิง: Euromonitor, ABC News