
การเลือกตั้งทั่วไปปี 2569 กำลังกลายเป็นจุดตัดสำคัญของทิศทางเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่ประชาชนจำนวนมากยังรู้สึกว่า “ชีวิตไม่ขยับไปข้างหน้า” เศรษฐกิจยังเติบโตไม่เต็มศักยภาพ ค่าครองชีพ หนี้ครัวเรือน และความเปราะบางของรายได้ยังคงกดทับชีวิตประจำวัน นโยบายเศรษฐกิจจึงไม่ได้ถูกมองเพียงในฐานะเครื่องมือกระตุ้นระยะสั้น หากแต่เป็นคำสัญญาทางการเมืองว่าจะพาประเทศหลุดพ้นจากวงจรปัญหาเดิมได้จริงหรือไม่
ท่ามกลางบรรยากาศดังกล่าว พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มเปิดหน้าไพ่ทางความคิดอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่ละพรรคพยายามวางกรอบนโยบายที่สะท้อนอัตลักษณ์ของตน ตั้งแต่การเยียวยาเชิงนโยบาย ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ไปจนถึงการเชื่อมโยงปากท้องกับคุณภาพชีวิตและธรรมาภิบาล
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นประธานการประชุมยุทธศาสตร์พรรค เพื่อสรุปทิศทางนโยบายหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งปี 2569 ก่อนเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 ธันวาคมนี้ โดยเปิดเผยว่าแกนหลักของนโยบายของพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังคงยึดกรอบ “4 ภัย” ซึ่งเป็นการต่อยอดจากแนวทางการทำงานของรัฐบาลในช่วง 96 วัน ภายใต้การนำของนายอนุทิน
พรรคภูมิใจไทยวางนโยบายเป็น 3 ระยะ ตั้งแต่ระยะสั้น ระยะกลาง ไปจนถึงระยะยาว โดยในช่วงเร่งด่วนจะมุ่งบรรเทาภาระประชาชนผ่านมาตรการพักหนี้ทุกรูปแบบ วงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน ควบคู่กับการเดินหน้านโยบายคนละครึ่งพลัส เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและพยุงเศรษฐกิจฐานราก ขณะที่ในระยะยาวจะเน้นการวางโครงสร้างใหม่ให้ความสำคัญกับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี โดยกำหนดให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากสวัสดิการของรัฐมากขึ้นกว่าผู้ที่อยู่นอกระบบ เช่น การยกระดับสิทธิการรักษาพยาบาลผ่านบัตร 30 บาทพลัส
พรรคภูมิใจไทยย้ำจุดยืนในการสนับสนุนกองทัพ เพื่อปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศ สร้างความชัดเจนในประเด็นเขตแดนบนเวทีโลก พร้อมกันนี้จะเดินหน้าโครงการเยียวยาประชาชนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การสู้รบและความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง
พรรคเตรียมยกระดับปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะแก๊งสแกมเมอร์ รวมถึงปัญหายาเสพติด ให้เป็นประเด็นด้านความมั่นคงของประเทศ เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการปราบปราม ควบคู่กับการป้องกันและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในระดับชุมชน
พรรคภูมิใจไทยยังคงให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยผลักดันนโยบายด้านพลังงานสะอาด อาทิ โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน การควบคุมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงมาตรการรับมือและเยียวยาความเสียหายจากภัยพิบัติ เพื่อพาประเทศมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในระยะยาว
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยจะไม่เสนอนโยบายกัญชาในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่านโยบายกัญชาทางการแพทย์ได้ดำเนินการและประสบความสำเร็จไปแล้ว ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตาท่าทีของพรรคต่อประเด็นการยกเลิก MOU 43-44 ซึ่งอาจกลายเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนทางการเมืองในช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่จะมาถึง
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรอบแนวคิดนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ก่อนจะทยอยเปิดตัวนโยบายอย่างเป็นทางการเพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง โดยระบุในเพจเฟซบุ๊กของพรรคเพื่อไทยว่า พรรคใช้ “10 หลักคิด” เป็นกรอบในการออกแบบนโยบาย เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
นายเผ่าภูมิ ระบุว่า หลักคิดทั้ง 10 ประการนี้ คือกรอบสำคัญที่พรรคเพื่อไทยใช้ในการออกแบบนโยบาย และประชาชนจะได้เห็นรายละเอียดของนโยบายเศรษฐกิจเพื่อไทยทยอยเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดตัวแนวคิดนโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ภายใต้แคมเปญ “ไทยไม่ทน” พร้อมขอบคุณประชาชนที่ร่วมสะท้อนเสียงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ถึงความอึดอัดที่เผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน ว่าต้องทนกับอะไร และไม่อยากทนกับอะไร ซึ่งเสียงส่วนใหญ่สะท้อนตรงกันว่า คนไทยไม่อยากทนกับปัญหาคอร์รัปชัน ความยากจน ปัญหาปากท้อง การถูกต่างชาติตัดราคาสินค้า ภัยพิบัติที่เกิดซ้ำซาก และปัญหาหนี้นอกระบบที่กัดกินชีวิตประชาชนมาอย่างยาวนาน
นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า สิ่งที่ประชาชนไม่อาจยอมรับได้มากที่สุด คือการทุจริตคอร์รัปชัน และคนโกง ทั้งในหมู่ข้าราชการและนักการเมือง ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาหลายด้านในประเทศ วันนี้คนจำนวนมากรู้สึกท้อแท้ เหมือนต้องทนหายใจไปวัน ๆ โดยไม่เห็นภาพอนาคตที่ชัดเจนว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร พร้อมตั้งคำถามสำคัญว่า เมื่อใดคนไทยจะหายจน และการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากวงจรเดิมได้หรือไม่ หรือจะยังคงวนเวียนอยู่กับการแข่งขันทางการเมืองเชิงอารมณ์ และนโยบายเฉพาะหน้าเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ก่อนที่ประเทศจะกลับไปยืนอยู่จุดเดิมอีกครั้ง จึงถึงเวลาที่ต้องประกาศให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “ประเทศไทยไม่ทน”
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า พรรคขออาสาเข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ ด้วยแนวทางการเมืองสุจริต ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และยืนหยัดในฐานะสถาบันทางการเมืองที่ทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนเท่านั้น จากประสบการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา และบทเรียนจากความผิดพลาดในอดีต ทำให้พรรคมั่นใจว่า วันนี้สามารถให้คำตอบกับประเทศได้ว่า คนไทยไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาพ “ทนหายใจ” ต่อไป
สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า จะกลับมาพร้อมกับประชาชน และใช้คำผวนแบบไทย ๆ ว่า “ทนหายใจ” จะเปลี่ยนเป็น “ไทยหายจน” โดยเป้าหมายสูงสุดของการรณรงค์หาเสียง คือการพาประเทศหลุดพ้นจากสภาพที่ต้องทนอยู่กับความยากลำบาก ไปสู่สภาวะที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า คำว่า “จน” ที่พรรคประชาธิปัตย์พูดถึง ไม่ได้หมายถึงปัญหาเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หรือการติดหล่มจากโครงสร้างผูกขาดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความ “จน” ในมิติอื่น ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในสังคม ทั้งจนปัญญา จนเงิน จนใจ และจนตรอก ซึ่งล้วนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน พรรคประชาธิปัตย์จึงอาสาเข้ามาขจัดความจนในทุกมิติ แก้ไขปัญหาสังคม และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างเป็นระบบ
นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่า ประเทศไทยมาถึงจุดที่ไม่ควรต้องทนกับสิ่งเดิม ๆ อีกต่อไป และการเลือกตั้งครั้งนี้คือโอกาสสำคัญที่ประชาชนจะร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อก้าวพ้นจากภาวะ “ทนหายใจ” ไปสู่ประเทศไทยที่ “หายจน” อย่างแท้จริง
ขณะที่ประเด็นการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เมื่อถูกถามว่าหนึ่งในรายชื่อคือ นางการดี เลี่ยวไพโรจน์ รองหัวหน้าพรรคหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า ขอให้รอการเปิดตัวภายในสัปดาห์นี้ และเมื่อถามต่อว่า แคนดิเดต 1 ใน 3 จะเป็นผู้หญิงใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ยังคงย้ำว่า รายละเอียดทั้งหมดจะชัดเจนภายในสัปดาห์เดียวกันนี้
เมื่อพิจารณาภาพรวม นโยบายเศรษฐกิจของทั้งสามพรรคสะท้อนทางเลือกที่แตกต่าง ตั้งแต่การเร่งเยียวยาและสร้างระบบสวัสดิการ การปฏิรูปเชิงโครงสร้างและการคลัง ไปจนถึงการเชื่อมปากท้องเข้ากับธรรมาภิบาลและคุณภาพชีวิต