Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
แย้มนโยบายเศรษฐกิจ เลือกตั้ง69'ภท.-พท.-ปชป.' จะแก้ปากท้องคนไทยอย่างไร?
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

แย้มนโยบายเศรษฐกิจ เลือกตั้ง69'ภท.-พท.-ปชป.' จะแก้ปากท้องคนไทยอย่างไร?

22 ธ.ค. 68
14:02 น.
แชร์

การเลือกตั้งทั่วไปปี 2569 กำลังกลายเป็นจุดตัดสำคัญของทิศทางเศรษฐกิจไทย ในช่วงที่ประชาชนจำนวนมากยังรู้สึกว่า “ชีวิตไม่ขยับไปข้างหน้า” เศรษฐกิจยังเติบโตไม่เต็มศักยภาพ ค่าครองชีพ หนี้ครัวเรือน และความเปราะบางของรายได้ยังคงกดทับชีวิตประจำวัน นโยบายเศรษฐกิจจึงไม่ได้ถูกมองเพียงในฐานะเครื่องมือกระตุ้นระยะสั้น หากแต่เป็นคำสัญญาทางการเมืองว่าจะพาประเทศหลุดพ้นจากวงจรปัญหาเดิมได้จริงหรือไม่

ท่ามกลางบรรยากาศดังกล่าว พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มเปิดหน้าไพ่ทางความคิดอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่ละพรรคพยายามวางกรอบนโยบายที่สะท้อนอัตลักษณ์ของตน ตั้งแต่การเยียวยาเชิงนโยบาย ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ไปจนถึงการเชื่อมโยงปากท้องกับคุณภาพชีวิตและธรรมาภิบาล

‘ภูมิใจไทย’ ปากท้องต้องมาก่อน เดินคู่ความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นประธานการประชุมยุทธศาสตร์พรรค เพื่อสรุปทิศทางนโยบายหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งปี 2569 ก่อนเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 ธันวาคมนี้ โดยเปิดเผยว่าแกนหลักของนโยบายของพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังคงยึดกรอบ “4 ภัย” ซึ่งเป็นการต่อยอดจากแนวทางการทำงานของรัฐบาลในช่วง 96 วัน ภายใต้การนำของนายอนุทิน

  • ภัยเศรษฐกิจปากท้อง 

พรรคภูมิใจไทยวางนโยบายเป็น 3 ระยะ ตั้งแต่ระยะสั้น ระยะกลาง ไปจนถึงระยะยาว โดยในช่วงเร่งด่วนจะมุ่งบรรเทาภาระประชาชนผ่านมาตรการพักหนี้ทุกรูปแบบ วงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน ควบคู่กับการเดินหน้านโยบายคนละครึ่งพลัส เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและพยุงเศรษฐกิจฐานราก ขณะที่ในระยะยาวจะเน้นการวางโครงสร้างใหม่ให้ความสำคัญกับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี โดยกำหนดให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากสวัสดิการของรัฐมากขึ้นกว่าผู้ที่อยู่นอกระบบ เช่น การยกระดับสิทธิการรักษาพยาบาลผ่านบัตร 30 บาทพลัส

  • ภัยความมั่นคงชายแดน 

พรรคภูมิใจไทยย้ำจุดยืนในการสนับสนุนกองทัพ เพื่อปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศ สร้างความชัดเจนในประเด็นเขตแดนบนเวทีโลก พร้อมกันนี้จะเดินหน้าโครงการเยียวยาประชาชนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การสู้รบและความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง

  • ภัยสังคม

พรรคเตรียมยกระดับปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะแก๊งสแกมเมอร์ รวมถึงปัญหายาเสพติด ให้เป็นประเด็นด้านความมั่นคงของประเทศ เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการปราบปราม ควบคู่กับการป้องกันและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในระดับชุมชน

  • ภัยธรรมชาติ และการเยียวยา

พรรคภูมิใจไทยยังคงให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยผลักดันนโยบายด้านพลังงานสะอาด อาทิ โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน การควบคุมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงมาตรการรับมือและเยียวยาความเสียหายจากภัยพิบัติ เพื่อพาประเทศมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในระยะยาว

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยจะไม่เสนอนโยบายกัญชาในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่านโยบายกัญชาทางการแพทย์ได้ดำเนินการและประสบความสำเร็จไปแล้ว ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตาท่าทีของพรรคต่อประเด็นการยกเลิก MOU 43-44 ซึ่งอาจกลายเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนทางการเมืองในช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่จะมาถึง

‘เพื่อไทย’ เศรษฐกิจต้องสมดุล ปลดหนี้ ปลดล็อกโครงสร้าง

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรอบแนวคิดนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ก่อนจะทยอยเปิดตัวนโยบายอย่างเป็นทางการเพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง โดยระบุในเพจเฟซบุ๊กของพรรคเพื่อไทยว่า พรรคใช้ “10 หลักคิด” เป็นกรอบในการออกแบบนโยบาย เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

  1. การสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจและความรับผิดชอบทางการคลัง เป็นฐานสำคัญของนโยบาย โดยมุ่งลดการขาดดุลงบประมาณ เสริมความแข็งแกร่งด้านการคลัง และยกระดับเครดิตเรตติ้งของประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสายตานักลงทุนและตลาดการเงินระหว่างประเทศ
  1. การคืนสิทธิ์สู่มือประชาชนผ่านการกระตุ้นด้านดีมานด์ พรรคเพื่อไทยต้องการปรับวิธีใช้งบประมาณจากเดิมที่จัดสรรให้หน่วยงานรัฐไปจัดซื้อจัดจ้าง มาเป็นการให้เงินหรือคูปองแก่ประชาชนโดยตรง เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเลือกใช้บริการภาครัฐด้วยตนเอง
  1. หลักคิด “หนี้ดีต้องได้รางวัล หนี้เสียรัฐต้องช่วย” จะครอบคลุมการแก้ปัญหาหนี้ประชาชนทั้งระบบ ทุกกลุ่ม โดยให้ความสำคัญกับการแก้หนี้เสียเรื้อรัง เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สามารถกลับมาตั้งหลักและฟื้นตัวได้อีกครั้ง
  1. นโยบายเศรษฐกิจจะไม่พึ่งพาเพียงการใช้งบประมาณ แต่จะมุ่งปลดล็อกกฎหมายและปรับโครงสร้างระบบภาษี เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุน รวมถึงเงินทุนต่างชาติที่ถูกกฎหมายให้เข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย พร้อมย้ำว่าการลงทุนภาครัฐต้องทำหน้าที่เป็นแรงเหนี่ยวนำให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน
  1. แนวคิด “แปลงสินทรัพย์เป็นทุน” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ โดยทรัพย์สินและที่ดินของรัฐต้องถูกนำมาใช้สร้างรายได้ ไม่ปล่อยทิ้งร้าง และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลงทุนและใช้ประโยชน์ร่วมกัน
  1. ด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ พรรคเพื่อไทยเสนอให้สิทธิ์ลงไปถึงประชาชนโดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกพัฒนาทักษะของตนเองในสาขาเป้าหมายที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ
  1. การปฏิรูปรัฐจาก “รัฐควบคุม” ไปสู่ “รัฐบริการ” จะทำให้ระบบใบอนุญาตไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ แต่ยึดตามมาตรฐานเดียวกัน พร้อมเปิดระบบให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลงบประมาณ สถานะโครงการ และการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อยกระดับความโปร่งใสของภาครัฐ
  1. เศรษฐกิจไทยต้องมุ่งสู่เศรษฐกิจมูลค่าสูง โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ ท่ามกลางบริบทสังคมสูงวัยและแรงงานที่ลดลง จำเป็นต้องยกระดับผลิตภาพแรงงาน เทคโนโลยี และการประยุกต์ใช้ AI อย่างจริงจัง
  1. การยกเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดิน เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญ เพื่อดึงกิจกรรมเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบ เพิ่มการจ้างงานที่ถูกกฎหมาย และขยายฐานเศรษฐกิจของประเทศ
  1. การลดภาระและต้นทุนชีวิตของประชาชน ครอบคลุมทั้งค่าใช้จ่ายประจำวัน ค่ารักษาพยาบาล ประกันชีวิตผู้เสี่ยงภัย ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้า รวมถึงต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจทั้งระบบ โดยระบบภาษีต้องเอื้อต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME และเพิ่มบทบาทให้รัฐเป็นลูกค้าของ SME มากขึ้น

นายเผ่าภูมิ ระบุว่า หลักคิดทั้ง 10 ประการนี้ คือกรอบสำคัญที่พรรคเพื่อไทยใช้ในการออกแบบนโยบาย และประชาชนจะได้เห็นรายละเอียดของนโยบายเศรษฐกิจเพื่อไทยทยอยเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้

‘ประชาธิปัตย์’ จาก “ทนหายใจ” สู่ “ไทยหายจน”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดตัวแนวคิดนโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ภายใต้แคมเปญ “ไทยไม่ทน” พร้อมขอบคุณประชาชนที่ร่วมสะท้อนเสียงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ถึงความอึดอัดที่เผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน ว่าต้องทนกับอะไร และไม่อยากทนกับอะไร ซึ่งเสียงส่วนใหญ่สะท้อนตรงกันว่า คนไทยไม่อยากทนกับปัญหาคอร์รัปชัน ความยากจน ปัญหาปากท้อง การถูกต่างชาติตัดราคาสินค้า ภัยพิบัติที่เกิดซ้ำซาก และปัญหาหนี้นอกระบบที่กัดกินชีวิตประชาชนมาอย่างยาวนาน

นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า สิ่งที่ประชาชนไม่อาจยอมรับได้มากที่สุด คือการทุจริตคอร์รัปชัน และคนโกง ทั้งในหมู่ข้าราชการและนักการเมือง ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาหลายด้านในประเทศ วันนี้คนจำนวนมากรู้สึกท้อแท้ เหมือนต้องทนหายใจไปวัน ๆ โดยไม่เห็นภาพอนาคตที่ชัดเจนว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร พร้อมตั้งคำถามสำคัญว่า เมื่อใดคนไทยจะหายจน และการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากวงจรเดิมได้หรือไม่ หรือจะยังคงวนเวียนอยู่กับการแข่งขันทางการเมืองเชิงอารมณ์ และนโยบายเฉพาะหน้าเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ก่อนที่ประเทศจะกลับไปยืนอยู่จุดเดิมอีกครั้ง จึงถึงเวลาที่ต้องประกาศให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “ประเทศไทยไม่ทน”

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า พรรคขออาสาเข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ ด้วยแนวทางการเมืองสุจริต ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และยืนหยัดในฐานะสถาบันทางการเมืองที่ทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนเท่านั้น จากประสบการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา และบทเรียนจากความผิดพลาดในอดีต ทำให้พรรคมั่นใจว่า วันนี้สามารถให้คำตอบกับประเทศได้ว่า คนไทยไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาพ “ทนหายใจ” ต่อไป

สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า จะกลับมาพร้อมกับประชาชน และใช้คำผวนแบบไทย ๆ ว่า “ทนหายใจ” จะเปลี่ยนเป็น “ไทยหายจน” โดยเป้าหมายสูงสุดของการรณรงค์หาเสียง คือการพาประเทศหลุดพ้นจากสภาพที่ต้องทนอยู่กับความยากลำบาก ไปสู่สภาวะที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง

นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า คำว่า “จน” ที่พรรคประชาธิปัตย์พูดถึง ไม่ได้หมายถึงปัญหาเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หรือการติดหล่มจากโครงสร้างผูกขาดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความ “จน” ในมิติอื่น ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในสังคม ทั้งจนปัญญา จนเงิน จนใจ และจนตรอก ซึ่งล้วนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน พรรคประชาธิปัตย์จึงอาสาเข้ามาขจัดความจนในทุกมิติ แก้ไขปัญหาสังคม และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างเป็นระบบ

นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่า ประเทศไทยมาถึงจุดที่ไม่ควรต้องทนกับสิ่งเดิม ๆ อีกต่อไป และการเลือกตั้งครั้งนี้คือโอกาสสำคัญที่ประชาชนจะร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อก้าวพ้นจากภาวะ “ทนหายใจ” ไปสู่ประเทศไทยที่ “หายจน” อย่างแท้จริง

ขณะที่ประเด็นการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เมื่อถูกถามว่าหนึ่งในรายชื่อคือ นางการดี เลี่ยวไพโรจน์ รองหัวหน้าพรรคหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า ขอให้รอการเปิดตัวภายในสัปดาห์นี้ และเมื่อถามต่อว่า แคนดิเดต 1 ใน 3 จะเป็นผู้หญิงใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ยังคงย้ำว่า รายละเอียดทั้งหมดจะชัดเจนภายในสัปดาห์เดียวกันนี้

เมื่อพิจารณาภาพรวม นโยบายเศรษฐกิจของทั้งสามพรรคสะท้อนทางเลือกที่แตกต่าง ตั้งแต่การเร่งเยียวยาและสร้างระบบสวัสดิการ การปฏิรูปเชิงโครงสร้างและการคลัง ไปจนถึงการเชื่อมปากท้องเข้ากับธรรมาภิบาลและคุณภาพชีวิต 


แชร์
แย้มนโยบายเศรษฐกิจ เลือกตั้ง69'ภท.-พท.-ปชป.' จะแก้ปากท้องคนไทยอย่างไร?