
เอกนิติ-ศุภจี ขึ้นเวทีภูมิใจไทย เปิดนโยบายเศรษฐกิจชุดแรกสู่ศึกเลือกตั้งปี 2569 ภายใต้โจทย์ใหญ่ “ดึงเศรษฐกิจไทยขึ้นจากหล่ม” และเป้าหมายชัดเจนผลักดัน GDP กลับมาเติบโตไม่ต่ำกว่า 3% พลัส
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ในฐานะแกนนำทีมเศรษฐกิจ เปิดกรอบ “เศรษฐกิจไทยแลนด์ 10 พลัส” ครอบคลุมการยกเครื่องตั้งแต่ฐานรากถึงโครงสร้างประเทศ ตั้งแต่การรื้อระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใหม่ให้เข้าถึงคนเดือดร้อนจริง เชื่อมต่อกับโครงการคนละครึ่งพลัส เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ลดภาระหนี้ พร้อมนโยบายควบคุมค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชนรายย่อยไม่เกิน 3 บาทต่อหน่วย และการขยายมาตรการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้ พลัส” ลดต้นลดดอก ดึงลูกหนี้กลับเข้าสู่ระบบ เพื่อหยุดการดิ่งลงของเศรษฐกิจและพยุงกำลังซื้อในระยะสั้นควบคู่กันไป
ขณะเดียวกัน พรรควางหมุดหมายระยะยาวด้วยการยกระดับการลงทุนทั้งระบบ นายเอกนิติชี้ว่า เศรษฐกิจไทยโตต่ำต่อเนื่องเพราะการลงทุนหดตัวหนัก จึงตั้งเป้าใน 4 ปี เพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็น 30% ของ GDP ผ่านกลไก PPP การใช้ BOI ดึงอุตสาหกรรมอนาคต และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ เสริมด้วยนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว เทคโนโลยี และ AI เพื่อเพิ่มผลิตภาพ
ขณะที่นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ขยายภาพ “เทรดพลัส” วางไทยในโลกมัลติโพลาร์ ไม่เลือกข้างแต่เพิ่มคุณค่า แทรกไทยเข้าไปในซัพพลายเชนโลก ตั้งแต่เกษตรมูลค่าสูง SME บริการและอุตสาหกรรมใหม่ พร้อมผลักดันรัฐฉับไว อนุมัติเร็ว ลดกฎระเบียบซ้ำซ้อน เพื่อดึงการลงทุนจากต่างประเทศ
บทแถลงครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการประกาศนโยบายหาเสียง แต่เป็นการประกาศทิศทางการยกเครื่องเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ เพื่อสร้างการเติบโตที่ไม่กระจุกตัว มีคุณภาพ และยั่งยืนในระยะยาว
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ขึ้นเวทีแถลงนโยบายเศรษฐกิจของพรรคภูมิใจไทย โดยเริ่มต้นด้วยการเล่าประสบการณ์ตรงหลังได้รับการชักชวนจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ให้เข้ามารับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก นายอนุทินระบุโจทย์อย่างชัดเจนว่า หากไม่มีการลงมือทำ เศรษฐกิจไทยอาจทรุดตัวลงหนักกว่านี้
นายเอกนิติฉายภาพสถานการณ์ว่า หลังการแถลงนโยบายเมื่อวันที่ 30 กันยายน ซึ่งตรงกับช่วงสิ้นไตรมาส 3 ตัวเลขเศรษฐกิจไทยปรับลดลงอย่างรวดเร็ว จากระดับ 3.2% เหลือ 1.8% และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องไปที่ 1.2% หากปล่อยไว้โดยไม่ดำเนินมาตรการใด ๆ อัตราการเติบโตอาจเหลือเพียง 0.3% เท่านั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นายอนุทินมอบเวลาให้ทีมเศรษฐกิจเพียง 4 เดือนในการออกแบบนโยบายเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจ
นายเอกนิติเปรียบเศรษฐกิจไทยเหมือน “รถยนต์ที่ติดหล่ม” ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เครื่องยนต์สะดุดชั่วคราว แต่เป็นรถเก่าที่ไม่ได้รับการลงทุนมานาน คนขับมีอายุมาก เทคโนโลยีล้าสมัย และถนนเต็มไปด้วยอุปสรรคจากกฎระเบียบและขั้นตอนอนุญาตจำนวนมาก ภารกิจเร่งด่วนจึงไม่ใช่แค่การเร่งเครื่อง แต่ต้องดึงรถขึ้นจากหล่มให้ได้ก่อน
ในช่วงเวลาเพียง 73 วัน ทีมเศรษฐกิจของพรรคได้เร่งออกมาตรการ “ควิกบิ๊กวิน” หลายโครงการ ทั้งคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณแบบฟรอนต์โหลด มาตรการปิดหนี้ไวไปต่อได้ การลดหนี้ ยืดหนี้ ฟื้นฟูเอสเอ็มอี และการเร่งคืนภาษีให้ผู้ประกอบการรายย่อย นายเอกนิติระบุว่า มาตรการเหล่านี้ช่วยให้เศรษฐกิจไทย “พ้นจากหล่ม” แล้ว และในไตรมาส 4 อัตราการเติบโตจะไม่ต่ำกว่า 1% พลัส ถือเป็นการหยุดการดิ่งลงของเศรษฐกิจได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม นายเอกนิติย้ำว่า การพ้นจากหล่มไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจจะกลับมาวิ่งได้ดีในทันที รถคันนี้ยังคงเป็นรถเก่า เทคโนโลยีเดิม และยังติดไฟแดงบ่อยจากกฎกติกาที่ซับซ้อน จึงจำเป็นต้อง “ยกเครื่อง” ครั้งใหญ่ทั้งระบบ
นายเอกนิติกล่าวว่า หากพรรคภูมิใจไทยมีโอกาสทำงานต่อเนื่องอีก 4 ปี นโยบายเศรษฐกิจจะไม่หยุดอยู่แค่การพยุงระยะสั้น แต่จะมุ่งเพิ่มศักยภาพการเติบโตของประเทศอย่างเป็นระบบ ภายใต้กรอบ “เศรษฐกิจไทยแลนด์ Ten Plus” ตั้งเป้าให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไม่ต่ำกว่า 3% พลัส โดยยึดหลักการเติบโตที่ไม่กระจุกตัว เติบโตอย่างมีคุณภาพ และเติบโตเต็มศักยภาพ
หัวใจของนโยบายคือการเติบโตอย่างทั่วถึง เริ่มจาก “คนตัวเล็กพลัส” ที่มุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องครบทุกมิติ ทั้งเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย เพิ่มเงินออม และลดภาระหนี้ นายเอกนิติระบุว่า จากการลงพื้นที่พบว่ามีประชาชนจำนวนมากที่เดือดร้อนจริงแต่ตกหล่นจากระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พรรคจึงเสนอรื้อระบบลงทะเบียนใหม่ให้เข้าถึงได้มากขึ้น และเชื่อมโยงบัตรสวัสดิการเข้ากับโครงการคนละครึ่งพลัส
โครงการคนละครึ่งพลัสถูกออกแบบไม่ใช่เพียงการแจกเงิน แต่เป็นเครื่องมือเพิ่มทักษะให้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยผ่านดิจิทัลและเอไอ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า เงินจากโครงการถูกใช้ไปแล้วเกือบ 80,000 ล้านบาท โดยมีเพียง 15% อยู่ในกรุงเทพฯ ที่เหลือกระจายไปทั่วประเทศ ผู้เข้าร่วมโครงการที่ได้รับการอัปสกิลมีรายได้เพิ่มขึ้น 5-6 เท่า ขณะที่กลุ่มไรเดอร์และวินมอเตอร์ไซค์มีรายได้เพิ่มขึ้นราว 20-30% และเมื่อทักษะเพิ่มขึ้น รายได้ก็จะเพิ่มอย่างยั่งยืน
ด้านลดรายจ่าย พรรคเสนอควบคุมค่าไฟสำหรับคนตัวเล็กตัวน้อยไม่เกิน 3 บาทต่อหน่วย พร้อมส่งเสริมการออมผ่านพันธบัตรรัฐบาลออมพลัส สำหรับประชาชนทั่วไปและผู้สูงอายุที่พึ่งพาดอกเบี้ยเป็นรายได้หลัก นอกจากนี้ยังเสนอจัดตั้งบัญชีออมเพื่อการลงทุนส่วนบุคคล หรือ Thailand Individual Saving Account (TISA) ซึ่งสามารถนำไปลดหย่อนภาษี เพื่อสร้างเงินออมและความมั่นคงในระยะยาว
ในด้านหนี้สิน พรรคเดินหน้าขยายโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้ พลัส” จากเดิมที่ช่วยประชาชนไปแล้วกว่า 1 ล้านคน เป็นเป้าหมาย 3.4 ล้านคน โดยดึงหนี้ในอดีตออกมาบริหารผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐ ลดต้นลดดอก และเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ที่มีวินัยสามารถกลับเข้าสู่ระบบสินเชื่อโดยไม่ถูกตัดโอกาสจากเครดิตบูโร พร้อมมาตรการลดดอกเบี้ยให้ผู้ที่ผ่อนตรงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้คนดีถูกมองข้าม
นโยบาย Ten Plus ยังครอบคลุม “สูงวัยพลัส” ที่เปลี่ยนพลังผมขาวให้เป็นพลังเก๋า ผ่านการเพิ่มทักษะ งาน รายได้ และระบบดูแล “ชุมชนพลัส” ที่มุ่งผลิตของที่ใช่ ขายของที่ตลาดต้องการ กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค ลดการย้ายถิ่น และสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวเมืองรองผ่านมาตรการภาษี เช่น เที่ยวดีมีคืน “การศึกษาเท่าเทียมพลัส” ที่เรียนฟรีทุกที่ทุกเวลาและมีงานทำจริงผ่าน Skill Bridge เชื่อมทักษะกับงาน และ “เมดอินไทยแลนด์เอสเอ็มอีพลัส” ที่เติมทุน ค้ำประกัน เปิดตลาด คืนภาษีฟาสต์แทร็ก และให้แต้มต่อสินค้าเอสเอ็มอีไทยในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
นายเอกนิติชี้ว่า สาเหตุสำคัญที่เศรษฐกิจไทยโตต่ำต่อเนื่องคือการลงทุนที่ลดลงอย่างมาก หลังวิกฤตปี 2540 จากเดิมที่การลงทุนคิดเป็นราว 40% ของ GDP ลดลงเหลือเพียงประมาณ 23% ส่งผลให้การเติบโตจากระดับ 6-7% ลดลงเหลือราว 3% และในปัจจุบันต่ำกว่า 1% พรรคจึงตั้งเป้าเพิ่มการลงทุนเป็น 30% ของ GDP ภายใน 4 ปี
แนวทางหลักคือการยกระดับการลงทุนผ่านการร่วมทุนรัฐ-เอกชน (PPP) การดึงเงินท้องถิ่นมาจับคู่กับงบส่วนกลาง และการใช้กลไก BOI ดึงอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเข้ามา ทั้งยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เอไอและออโตเมชัน เกษตรสมัยใหม่ อาหารแปรรูปสุขภาพ การแพทย์ครบวงจร เวลเนส และพลังงานแห่งอนาคต ควบคู่กับการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่
ในด้านการคลัง นายเอกนิติระบุว่า ภายใน 73 วัน รัฐบาลสามารถฟื้นความเชื่อมั่นจากสถาบันจัดอันดับเครดิตโลก หลังจากก่อนหน้านั้นไทยถูกปรับมุมมองเป็นลบ โดย S&P ยืนยันเสถียรภาพเครดิตของประเทศ ขณะเดียวกัน พรรคเตรียมใช้กองทุน Thailand Future Fund และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบิน ผ่านกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ
ด้านเศรษฐกิจสีเขียว พรรคผลักดัน Green Plus ผ่านพลังงานสะอาด Direct PPA โซลาร์รูฟท็อป การเงินสีเขียว และการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต รองรับกติกาโลกใหม่ เช่น CBAM ของยุโรป พร้อมสร้างรายได้ใหม่ งานใหม่ และพัฒนาตลาดทุนสีเขียว
ขณะที่ AI Plus และ Trade Plus มุ่งใช้เอไอเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ ธุรกิจ และประชาชน ควบคู่กับการค้าระหว่างประเทศเชิงรุก โดยมีรัฐเป็นผู้เอื้ออำนวย ไม่ใช่อุปสรรค ผ่านนโยบาย Thailand Plus และ Thailand Fast Pass ซึ่งในช่วง 73 วัน สามารถอนุมัติโครงการลงทุน BOI กว่า 470,000 ล้านบาท พร้อมลงทุนจริงในปีถัดไป
นายเอกนิติย้ำว่า นโยบายเศรษฐกิจไทยแลนด์ Ten Plus เป็นนโยบายที่ “พูดแล้วทำ ทำแล้วเห็นผล” และขอโอกาสให้พรรคภูมิใจไทยเดินหน้ายกเครื่องเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ เพื่อผลักดันการเติบโตที่ไม่กระจุกตัว มีคุณภาพ และยั่งยืนในระยะยาว
ด้านนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ขึ้นเวทีแถลงนโยบายพรรคภูมิใจไทย (ภท.) โดยเริ่มจากการอธิบายบริบทเศรษฐกิจโลกที่ไทยกำลังเผชิญ ซึ่งไม่ใช่โลกสองขั้วอีกต่อไป แต่เป็นโลกแบบ “มัลติโพลาร์” ที่มีหลายขั้ว หลายค่าย หลายผลประโยชน์ ประเทศใดเลือกยืนข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไปย่อมเสียโอกาสทางการค้า นางศุภจีย้ำว่าไทยต้องวางตัว “ให้พอดี” ไม่เอนเอียง แต่ทำให้ประเทศมีคุณค่า มีความจำเป็นในระบบเศรษฐกิจโลก จนทุกประเทศอยากเป็นคู่ค้ากับไทย
หัวใจของนโยบายการค้าคือการมองให้ครบทั้งห่วงโซ่อุปสงค์-อุปทาน ไม่ใช่แค่การไปเจรจาขอให้คู่ค้าซื้อสินค้าไทยไปใช้ในประเทศของเขาเท่านั้น สินค้าที่ไทยส่งออกอาจเป็นวัตถุดิบหรือสินค้าตั้งต้น เพื่อนำไปแปรรูป ผสมผสาน และส่งต่อไปยังประเทศอื่น ดังนั้นการเจรจาการค้าต้องรู้ว่าสินค้าไทยไปจบที่ใคร เป็นตลาดที่สอง ที่สาม หรือมากกว่านั้น นี่คือหลักการสำคัญในการแทรกตัวเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนของประเทศคู่ค้า และเปลี่ยน “คู่ค้า” ให้กลายเป็น “พันธมิตร” หรือหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ
นางศุภจียังหยิบยกประเด็นดุลการค้ามาอธิบายว่า ในหลายประเทศ ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า ซึ่งหมายความว่าไทยขายสินค้าให้เขามากกว่าเขาขายให้ไทย หากเป็นเช่นนี้ การขอให้เขาซื้อสินค้าไทยเพิ่มย่อมไม่ง่าย เพราะอีกฝ่ายย่อมต้องการขายสินค้าเข้ามาในไทยมากขึ้นเช่นกัน วิธีแก้คือการทำความเข้าใจว่าสินค้าที่ไทยส่งออกไปนั้น คู่ค้าเอาไปใช้ประโยชน์อย่างไร แปรรูปต่ออย่างไร และส่งออกไปยังประเทศใด เพื่อให้ไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จทางเศรษฐกิจของเขา
ในประเด็นภาษีต่างตอบแทน (Tariff) โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกา นางศุภจีระบุว่า แม้กรอบเดิมจะอยู่ที่ราว 19% แต่ต้องพิจารณารายละเอียดเชิงลึกเพื่อให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุด พร้อมชี้ว่าหลายประเทศถูกเก็บภาษีสูงกว่าไทยอย่างมีนัยสำคัญ เช่น จีนมากกว่า 40% อินเดียราว 50% รวมถึงแคนาดา ซึ่งเป็นโอกาสให้ไทยเข้าไปแทนที่สินค้าในบางตลาดได้ หากรู้ว่าประเทศเหล่านั้นขายอะไรให้สหรัฐฯ และขายให้ใคร นางศุภจีย้ำว่า ปัจจัยที่แก้ไม่ได้เราแก้ไม่ได้จริง แต่ปัจจัยที่แก้ได้คือการ “ฉวยโอกาส” จากช่องว่างที่เกิดขึ้นในโลกการค้า
นางศุภจีสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยผ่านตัวเลขว่า แรงงานภาคเกษตรมีสัดส่วนสูงถึง 30% ของประเทศ แต่สร้างมูลค่าให้ GDP เพียงราว 6% ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 25% และภาคบริการสูงถึง 66% แม้ภาคบริการจะดูดี แต่หากไม่เป็นบริการมูลค่าสูง ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาวได้ ขณะที่ทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมมีแนวโน้มถดถอยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนชัดว่าไทย “อยู่กับที่ไม่ได้” ต้องเปลี่ยน และต้องเปลี่ยนทั้งประเทศไปพร้อมกัน
ในภาคเกษตร นโยบายสำคัญคือการสร้างความมั่นคงด้านรายได้ให้เกษตรกรโดยไม่เน้นการใช้งบประมาณ นางศุภจีเสนอให้ใช้การจัดซื้อขนาดใหญ่ของรัฐเป็นเครื่องมือสร้างตลาด เช่น การจัดซื้อเครื่องบินรบ Gripen 13 ลำ การจัดหาเรือซีเกตเพิ่มเติมเพื่อความมั่นคง หรือการจัดซื้อเครื่องบินพาณิชย์ของการบินไทย แทนที่จะจ่ายเป็นเงินสดทั้งหมด ไทยควรกำหนดเงื่อนไข “ขอแลก” ด้วยสินค้าเกษตรบางส่วนควบคู่ไปด้วย เพื่อสร้างฐานตลาดและรายได้เพิ่มเติมให้เกษตรกร
สำหรับข้าว ซึ่งไทยไม่ได้เป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลกอีกต่อไป นางศุภจีระบุว่า ไทยไม่จำเป็นต้องแข่งด้านปริมาณกับอินเดียหรือเวียดนาม แต่ควรแข่งด้านมูลค่า โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิและข้าวพื้นเมือง ซึ่งไทยมีมากกว่า 5,000 สายพันธุ์ ตั้งแต่ข้าวหอมใบเตย ข้าวพญาลืมแกง ข้าวสังข์หยด ข้าวไร่หอม ข้าวเหนียวเขาวง ไปจนถึงข้าวพื้นเมืองจากภาคเหนือ อีสาน ใต้ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ตลาดโลกที่มีความต้องการแตกต่างกัน เช่น ฮ่องกงที่นิยมข้าวนุ่ม สิงคโปร์ที่นิยมข้าวพื้นแข็ง หรือกลุ่มตะวันออกกลางที่นิยมข้าวนึ่งคล้ายบัสมาติ
รัฐบาลได้เริ่มโครงการนำร่อง 200 ชุมชน ลงไปดูถึงระดับพื้นที่ว่าขาดอะไร บางแห่งขาดเครื่องสีข้าว บางแห่งขาดเครื่องแพ็กสูญญากาศ บางแห่งพร้อมผลิตแต่ขาดการสร้างเรื่องราว บรรจุภัณฑ์ และตลาด พร้อมนโยบายปลูกพืชท้ายไร่ สนับสนุน 2,000 บาทต่อไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ ตั้งเป้าครอบคลุม 1 ล้านไร่ เพื่อเพิ่มรายได้โดยไม่บังคับให้เกษตรกรเปลี่ยนอาชีพ
ในภาค SME นางศุภจีเสนอแนวคิด “ติดปีก SME” ด้วยโมเดล Asset Light ลดการลงทุนหนัก เปลี่ยนออฟไลน์เป็นออนไลน์ ขยายแฟรนไชส์ และเข้าถึงแหล่งทุน โดยผนึกกำลังกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและ SME D Bank เพื่อยกระดับธุรกิจให้ได้มาตรฐาน สามารถขยายในประเทศและต่างประเทศ เช่น ตะวันออกกลาง พร้อมผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซอฟต์แวร์ คอนเทนต์ และทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงสินค้า GI ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าได้ 2-5 เท่าหรือมากกว่านั้น
ในมิติอุตสาหกรรม นางศุภจีระบุว่า ไทยต้องเร่งสร้าง New S-Curve ควบคู่การดูแลผู้ประกอบการเดิม โดยเน้นอุตสาหกรรมมูลค่าสูง เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Medical Wellness Senior Living การท่องเที่ยวเชิงยั่งยืน อุตสาหกรรมฮาลาล Pink Economy Creative Economy และยานยนต์ยุคใหม่ เพื่อรักษาความเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ในบริบทโลกใหม่
ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากรัฐยังล่าช้าและไม่โปร่งใส นางศุภจีจึงเสนอแนวคิด “รัฐฉับไว อนุมัติไว ไม่มีกัก” ใช้ Fast Track ใช้ AI เชื่อมการทำงานหลายหน่วยงาน ลดกฎหมายซ้ำซ้อน ปรับกฎระเบียบที่ล้าสมัย และผลักดันกฎหมายแบบ “กิโยติน” เพื่อตัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น พร้อมยกระดับมาตรฐานสู่ OECD ภายใน 5 ปี หรือเร็วที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้คู่ค้าและนักลงทุน
นอกจากนี้ ยังเสนอให้ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่า ทั้งด้านสวัสดิการ การเข้าถึงบริการรัฐ ความรวดเร็วในการรักษาพยาบาล การซื้อพันธบัตรรัฐบาล และโอกาสทางการศึกษา เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เศรษฐกิจอยู่ในระบบมากขึ้น
นางศุภจีสรุปว่า หากสามารถขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศ เกษตร SME อุตสาหกรรม และรัฐที่คล่องตัวไปพร้อมกันได้จริง การค้าของไทยจะไม่ใช่เพียง “เทรด” แต่จะเป็น “เทรดพลัส” และผลลัพธ์สุดท้ายไม่ใช่แค่ตัวเลข GDP หากแต่คือการทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็น “สยามเมืองยิ้ม” และทำให้คนไทยกลับมายิ้มได้อย่างมั่นคงอีกครั้งในอีก 4 ปีข้างหน้า