ระหว่างการเปิดประชุมรัฐสภาแคนาดาเมื่อวันอังคารที่ 27 พฤษภาคม 2568 กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ทรงกล่าวสุนทรพจน์สำคัญ มุ่งหมายกำหนดบทบาทของประเทศท่ามกลางโลกที่ไม่แน่นอน และความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา
พระราชดำรัสของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐของแคนาดา วางแนวทางนโยบายสำคัญสำหรับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาร์ก คาร์นีย์ จากพรรคเสรีนิยม ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนเมษายน
พระองค์ทรงตรัสว่า ความสัมพันธ์กับพันธมิตรต่างๆ รวมถึงสหรัฐฯ กำลังเปลี่ยนแปลง และทรงเน้นย้ำถึงอธิปไตยของทั้งสองประเทศ โดยสำนักข่าว BBC สรุป 5 ประเด็นสำคัญจากพระราชดำรัส
การที่มาร์ก คาร์นีย์เชิญกษัตริย์ชาร์ลส์มาทรงเปิดประชุมรัฐสภานั้น เป็นการส่งข้อความโดยตรงถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์แล้ว และแม้ชาร์ลส์ที่ 3 จะไม่ได้กล่าวถึงทรัมป์โดยตรง แต่ความตึงเครียดระหว่างแคนาดาและสหรัฐฯ เป็นประเด็นตลอดสุนทรพจน์
บรรยากาศความรักชาติถูกจุดขึ้นช่วงเริ่มต้นของสุนทรพจน์ กษัตริย์ชาร์ลส์ตรัสถึงความปลื้มปีติและความภาคภูมิใจที่ได้อยู่ในประเทศแคนาดา ทรงแสดงความชื่นชมต่ออัตลักษณ์เฉพาะตัวของแคนาดา และการเติบโตของประเทศตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเปิดประชุมรัฐสภา—คือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1955 และเน้นย้ำถึงความสำคัญของสถาบันกษัตริย์และอัตลักษณ์ของแคนาดา
“ราชบัลลังก์ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของแคนาดามาโดยตลอด ราชบัลลังก์ยังเป็นตัวแทนของเสถียรภาพและความต่อเนื่องจากอดีตสู่ปัจจุบัน และควรค่าแก่การยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจในฐานะสัญลักษณ์ของแคนาดาในวันนี้ ที่เปี่ยมไปด้วยความมั่งคั่งและพลวัต”
ต่อมาในวันเดียวกัน ทรัมป์ได้แสดงความเห็นอีกครั้งว่า แคนาดาควรถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ขณะที่ทรัมป์ผลักดันแผนระบบป้องกันขีปนาวุธแห่งทวีปอเมริกาเหนือ แคนาดาได้ปฏิเสธอย่างชัดเจน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ใน Truth Social ว่าโครงการ “Golden Dome” จะทำให้แคนาดาต้องจ่าย 61,000 ล้านดอลลาร์ “หากยังคงเป็นชาติที่แยกจากกันแต่ไม่เท่าเทียม” แต่จะ “ไม่ต้องจ่ายแม้แต่ดอลลาร์เดียว หากกลายเป็นรัฐที่ 51 อันเป็นที่รักของเรา”
ทรัมป์อ้างว่าแคนาดากำลังพิจารณาข้อเสนอการกลายเป็นรัฐที่ 51
กษัตริย์ชาร์ลส์ตรัสต่อว่า แคนาดากำลังเผชิญ “ความท้าทายที่ไม่เคยมีมาก่อน ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทั่วทุกทวีป” ซึ่งประเด็นเกี่ยวกับสหรัฐฯ และความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศถูกกล่าวถึงอีกครั้ง
“ระบบการค้าเสรีระหว่างประเทศ ที่แม้ไม่สมบูรณ์ แต่ก็สร้างความมั่งคั่งให้กับชาวแคนาดามาหลายทศวรรษ กำลังเปลี่ยนแปลงไป ความสัมพันธ์ของแคนาดากับพันธมิตรก็เปลี่ยนไปเช่นกัน” พระองค์ตรัส
คารนีย์กล่าวเริ่มว่าแคนาดากำลังมุ่งหน้าไปสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ “หัวเลี้ยวหัวต่อ” การเปลี่ยนแปลงเพื่อพร้อมรับอนาคตที่ไม่แน่นนจึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่นเดียวกันกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ายังเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกับพันธมิตรยุโรป และสหรัฐฯ
“เป็นโอกาสในการคิดการใหญ่และลงมือทำให้ยิ่งใหญ่กว่า เป็นโอกาสที่แคนาดาจะเริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง” กษัตริย์ตรัส
กษัตริย์ชาร์ลส์กล่าวถึงนโยบายภายในประเทศ และแผนของพรรคเสรีนิยมที่นำโดยคาร์นีย์ในการรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบากของแคนาดา
รัฐบาลประกาศว่า จะเสนอร่างกฎหมายภายในวันที่ 1 กรกฎาคม เพื่อยกเลิกอุปสรรคของรัฐบาลกลางต่อการค้าเสรีภายในประเทศ ซึ่งอุปสรรคด้านการค้าระหว่างมณฑลและการเคลื่อนย้ายแรงงาน ทำให้ประเทศสูญเสียมากถึง 200,000 ล้านดอลลาร์แคนาดาต่อปี (ประมาณ 4,700 ล้านบาท)
รัฐบาลให้คำมั่นว่า จะเร่งรัดโครงการโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ และเพิ่มวงเงินในโครงการให้กู้ยืมเป็นสองเท่า เพื่อให้ชุมชนพื้นเมืองมีความเป็นเจ้าของในโครงการสำคัญมากขึ้น
ต่อมาผู้นำพรรคอนุรักษนิยม ปิแอร์ ปัวลิเยฟ วิจารณ์ว่า สุนทรพจน์นี้ “ขาดแผนที่ชัดเจน” ในการดำเนินการตามพันธสัญญาใหญ่ ๆ เช่น โครงการพลังงาน
นอกจากความตึงเครียดระหว่างประเทศ อีกปัญหาภายในประเทศที่แคนาดาเผชิญคือ ความสามารถในการเข้าถึงที่อยู่อาศัย เนื่องจากราคาบ้านทั่วประเทศพุ่งสูงตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ประเด็นนี้เป็นหนึ่งในหัวข้อหลักระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งพรรคเสรีนิยมของคาร์นีย์ให้คำมั่นไว้ว่า จะเร่งการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเป็นปีละ 500,000 หลัง หรือมากเป็นสองเท่าจากจำนวนในปัจจุบัน
รัฐบาลใช้พื้นที่สุนทรพจน์เน้นย้ำแผนอื่นของรัฐบาลในการรับมือกับปัญหานี้ รวมถึงการลงทุนในบ้านแบบสำเร็จรูปและแบบโมดูลาร์ และการลดค่าธรรมเนียมการพัฒนาในระดับเทศบาลลงครึ่งหนึ่งสำหรับโครงการที่อยู่อาศัยแบบหลายยูนิต
ด้านค่าครองชีพ รัฐบาลยืนยันว่า จะดำเนินการยกเว้นภาษีสินค้าและบริการ (GST) สำหรับผู้ซื้อบ้านครั้งแรกในราคาต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์แคนาดา และแผนอื่นๆ เช่น การลดภาษีให้ชนชั้นกลางระดับล่าง
อีกประเด็นสำคัญระหว่างการหาเสียงของพรรคเสรีนิยมคือเรื่องอาชญากรรม ซึ่งพรรคเสรีนิยมสัญญาว่า จะเพิ่มโทษรุนแรงขึ้นสำหรับอาชญากรรมประเภทโจรกรรมรถยนต์ บุกรุกบ้าน ค้ามนุษย์ และลักลอบขนยาเสพติด
อเล็กซองดร์ บูเลอริซ ผู้นำเสียงข้างมากในสภาจากพรรค NDP ฝ่ายซ้าย กล่าวหลังสุนทรพจน์ว่า ยังมี “ช่องว่างขนาดใหญ่” ในประเด็นอย่างอย่าง สิ่งแวดล้อม และ สิทธิสตรี
แคนาดาตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมากขึ้นจากสหรัฐฯ และพันธมิตรนาโต้รายอื่น ๆ ให้เพิ่มงบประมาณด้านการทหาร เนื่องจากยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการใช้จ่าย 2% ของ GDP ตามที่สมาชิกพันธมิตรตกลงกันไว้ได้ ซึ่งคาร์นีย์ให้คำมั่นว่าแคนาดาจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวภายในปี 2030
สุนทรพจน์เมื่อวันอังคารประกอบด้วยคำมั่นว่าจะ “สร้างใหม่ ติดอาวุธใหม่ และลงทุนใหม่” ให้แก่กองทัพ รวมถึงการเสริมความสัมพันธ์ด้านกลาโหมกับพันธมิตรยุโรป โดยเฉพาะการเข้าร่วมแผน Rearm Europe ซึ่งเป็นโครงการเพิ่มงบกลาโหมในทวีปอย่างก้าวกระโดด และเสริมความเข้มแข็งในภูมิภาคอาร์กติกของแคนาดา
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คาร์นีย์ยังเปิดเผยว่า แคนาดากำลังเจรจาระดับสูงกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเข้าร่วมระบบป้องกันขีปนาวุธ “Golden Dome” ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากเทคโนโลยีในอนาคต