Logo site Amarintv 34HD
อมรินทร์ทีวีแจกใหญ่ส่งท้ายปี ดูทั้งวันแจกทุกวันLogo Seagame2025Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ไทยนำเข้าเหล็ก 70% ผู้ผลิตในประเทศเหนื่อย เหล็กจีนแย่งตลาดเพิ่มเรื่อยๆ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

ไทยนำเข้าเหล็ก 70% ผู้ผลิตในประเทศเหนื่อย เหล็กจีนแย่งตลาดเพิ่มเรื่อยๆ

24 ต.ค. 68
20:17 น.
แชร์

กรณีเหล็กที่เก็บจากตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเหล็กของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด จากจีน ถูกตรวจสอบพบว่า เหล็กบางส่วนไม่ได้มาตรฐาน และถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มขณะเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อเดือนมีนาคม 2568 หรือไม่ เป็นอีกด้านหนึ่งของผลกระทบจากการที่เหล็กราคาถูกจากประเทศจีนเข้ามาทุ่มตลาดประเทศไทยมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี 

ส่วนผลกระทบทางตรงอีกด้านหนึ่ง คือ ผู้ผลิตเหล็กในประเทศไทยแข่งกับเหล็กจีนไม่ไหว แม้ว่าที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ของไทยได้ใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็ก แต่ก็ไม่อาจทัดทานการทะลักเข้ามาของเหล็กจีนได้เท่าไรนัก

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยยังนำเข้าเหล็กจากจีนในสัดส่วนสูง อีกทั้งมีบริษัทเหล็กจีนมาตั้งโรงงานผลิตในไทยเองด้วย ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตเหล็กไทยหลายรายต้องปิดกิจการหรือหยุดการผลิตไป เพราะแข่งขันด้านราคากับเหล็กจีนต้นทุนต่ำไม่ไหว มีการประเมินกันในอุตสาหกรรมเหล็กว่า อุตสาหกรรมนี้เสียหายเป็นมูลค่ากว่า 10,000 ล้านในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ไทยนำเข้าเหล็กมากถึง 70% 

หากดูโครงสร้างสัดส่วนเหล็กที่ใช้ในประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้อมูลในอุตสาหกรรมเหล็กเผยให้เห็นว่า นับตั้งแต่ปี 2565 ไทยผลิตเหล็กเองคิดเป็นเพียงประมาณ 30% ของการใช้งานในประเทศเท่านั้น ต้องทำเข้าจากต่างประเทศเป็นสัดส่วนมากถึงประมาณ 70% ของการใช้งาน 

เหตุที่ไทยต้องนำเข้าเหล็กมากนั้น เนื่องจากไทยไม่มีอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กต้นน้ำ ทำให้ต้องนำเข้าทั้งเหล็กดิบ (raw steel หรือ raw material) และเหล็กกึ่งสำเร็จรูป (semi-finished steel) เพื่อนำไปผลิตเป็นเหล็กสำเร็จรูปต่อไป

ทั้งนี้ ประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของไทย คือ จีน (33%) รองลงมา คือ ญี่ปุ่น (32%) 

ด้านการส่งออก ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูปเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยของปริมาณการผลิตในประเทศ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีการส่งออกมากที่สุดคือ ผลิตภัณฑ์ท่อเหล็ก ผลิตภัณฑ์เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน และผลิตภัณฑ์เหล็กเส้น โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ คือ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา เมียนมา และแคนาดา

เหล็กสำเร็จรูปจีนแย่งตลาดเพิ่มเรื่อยๆ

อาจไม่ใช่เรื่องน่ากังวล หาการนำเข้าเหล็กของไทยที่มีสัดส่วนมากถึง 70% นั้น เป็นการนำเข้าเหล็กดิบหรือเหล็กกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งไทยไม่มีอุตสาหกรรมนี้ แต่ที่น่ากังวล คือ (1) สัดส่วนการนำเข้าเหล็กเพิ่มขึ้น-สัดส่วนการผลิตเหล็กในประเทศของไทยลดลง จากที่เคยมีสัดส่วนอยู่ที่ 35%-40% ในช่วงปี 2559-2564 ลดลงเหลือ 30%-35% นับจากปี 2565 เป็นต้นมา และ (2) ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา การนำเข้าเหล็กของไทยเป็นการนำเข้าเหล็กสำเร็จรูปจากจีนในสัดส่วนสูงมาก เมื่อเทียบกับการนำเข้าเหล็กดิบและผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป

อย่างเช่นตัวเลขในปี 2567 ข้อมูลจากสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยระบุว่า ไทยนำเข้าเหล็กรวมทั้งหมด 14.92 ล้านตัน ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็นการนำเข้าเหล็กดิบ (raw material) เพียง 1.51 ล้านตัน อยู่ในระดับทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป (semi-finished steel) 2.01 ล้านตัน ลดลง 15.7% ขณะที่การนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป (finished steel) มากถึง 11.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.7% 

ล่าสุด ในไตรมาส 2 ของปี 2568 ไทยนำเข้าเหล็กรวมทั้งหมด 4.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นการนำเข้าเหล็กดิบเพียง 0.68 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 91.6% การนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป 0.80 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 55.8% ขณะที่การนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป 3.22 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 14.8% 

ทั้งนี้ ตลาดหลักที่ไทยนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน 

จีนผลิตเหล็กราวครึ่งโลก ไทยติดท็อปนำเข้า

จีนเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก สถิติหลายปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าจีนผลิตเหล็กดิบราวครึ่งหนึ่งของการผลิตทั่วโลก ส่วนผู้ผลิตเหล็กดิบอันดับ 2 ของโลก คือ อินเดีย และอันดับที่ 3 คือ ญี่ปุ่น

ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมเหล็ก สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2567 จีนมียอดผลิตเหล็กดิบ 1,005.1 ล้านตัน หดตัวลงแล้วจากปีก่อนหน้า เนื่องจากประเทศจีนประสบภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากความเสี่ยงสำคัญหลายด้าน ทั้งปัจจัยกดดันจากภาคอสังหาริมทรัพย์ การใช้จ่ายภายในประเทศและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ ความเสี่ยงสงครามการค้าของจีนกับประเทศต่างๆ ปัญหาการผลิตล้นตลาด และการแข่งขันที่รุนแรง ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว และส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตเหล็ก

ทั้งนี้ จากปัญหาภาวะทางเศรษฐกิจชะลอตัวในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการก่อสร้าง ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีสัดส่วนการใช้งานเหล็กสูงที่สุด ส่งผลให้ความต้องการการใช้งานเหล็กในประเทศจีนลดลง ถึงแม้ว่าปริมาณการผลิตจะปรับลดลงแล้ว แต่จีนยังมีอุปทานส่วนเกินสูงมาก ผู้ผลิตในจีนจึงระบายสินค้าส่วนเกินส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่ง ‘ไทย’ เป็นตลาดสำคัญอยู่ในอันดับ 4 ของการส่งออกเหล็กของจีน โดยการส่งออกเหล็กมาไทยคิดเป็นสัดส่วน 5% ของการส่งออกเหล็กทั้งหมดของจีน 

ผู้ผลิตเหล็กไทยเหนื่อย-แข่งขันยาก 

สายงานวิจัยธุรกิจ กลุ่มกลยุทธ์และนวัตกรรม ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮาส์ (LH Bank) วิเคราะห์เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ไทยมีแนวโน้มจะนำเข้าเหล็กจากจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตเหล็กไทยจากการแข่งขันกับเหล็กจีนที่มีราคาถูก

ทั้งนี้ จากการที่สายงานวิจัยธุรกิจ กลุ่มกลยุทธ์และนวัตกรรม LH Bank พิจารณาผลประกอบการของกลุ่มบริษัทเหล็กในตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 พบว่า กลุ่มผู้ผลิตเหล็กยังคงมีรายได้และกำไรปรับลดลงต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นจากเหล็กนำเข้าราคาถูก 

ด้านกลุ่มผู้จำหน่ายเหล็ก รายได้พลิกกลับมาหดตัวราว 5.0% จากปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาจำหน่ายเหล็กในตลาดที่ปรับลดลง อีกทั้ง ผู้ค้าเหล็กจากจีนยังเร่งทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น เช่น การจัดตั้งห่วงโซอุปทาน (supply chain) ที่ลูกค้าในประเทศไทยสามารถสั่งซื้อโดยตรงจากโรงงานในจีน ส่งผลให้ผู้ค้าไทยเผชิญการแข่งขันด้านราคารุนแรงยิ่งขึ้น

แนวโน้มธุรกิจเหล็กไทยปีหน้ายังเป็นเชิงลบ

สายงานวิจัยธุรกิจ กลุ่มกลยุทธ์และนวัตกรรม LH Bank วิเคราะห์เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2568 ถึงแนวโน้มธุรกิจเหล็กในระยะ 1 ปีข้างหน้า โดยระบุว่า ธุรกิจเหล็กในไทยมีแนวโน้ม ‘Negative’ 

กลุ่มผู้ผลิตเหล็กต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากเหล็กนำเข้าราคาถูกโดยเฉพาะจากจีน กดดันให้ราคาตลาดอยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกันผู้ผลิตยังต้องแบกรับต้นทุนวัตถุดิบที่ยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้งอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำกว่าศักยภาพ จึงส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงและกดดันความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ

นอกจากนี้ ในแง่การส่งออก แม้ภาษีของสหรัฐฯจะกระทบผู้ส่งออกทุกประเทศในอัตราเดียวกัน แต่ไทยซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูงกว่า อาจเผชิญความยากลำบากมากกว่าในการรักษาส่วนแบ่งตลาด ขณะที่ผู้จำหน่ายเหล็กต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นจากผู้นำเข้ารายใหม่ที่เข้ามาแข่งขันด้านราคา

สำหรับแนวโน้มความต้องการเหล็ก แม้จะยังคงขยายตัวทั้งในกลุ่มเหล็กทรงยาวจากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และเหล็กทรงแบนที่ฟื้นตัวจากอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ยังถูกจำกัดจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยอดขายหดตัวอันเป็นผลมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและเงื่อนไขสินเชื่อที่เข้มงวด และแม้ว่าไทยจะมีมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดบ้าง แต่ยังไม่เข้มงวดเพียงพอ จึงทำให้เหล็กนำเข้ายังคงได้เปรียบด้านการแข่งขัน 

ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรปรับกลยุทธ์ด้วยการบริหารสต๊อกตามแนวโน้มราคา ขยายช่องทางขายผ่านดิจิทัล พัฒนาเหล็กเฉพาะทาง และมุ่งสู่การผลิตเหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green steel) เพื่อตอบโจทย์มาตรฐานสิ่งแวดล้อมและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

ไทยเจอศึกษาหลายด้าน เหล็กญี่ปุ่น-เกาหลีก็จะเข้ามามากขึ้น 

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) วิเคราะห์ไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ว่า เหตุการณ์อาคารถล่มซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์แผ่นดินไหวในเดือนมีนาคม 2568 ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านคุณภาพเหล็กที่ถูกใช้งานในโครงการก่อสร้างทั่วประเทศ และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าเหล็กของไทยมีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น ทั้งในส่วนที่ผลิตในประเทศและส่วนที่ถูกนำเข้ามาจำหน่าย ซึ่ง SCB EIC คาดว่า ผู้ผลิตเหล็กของไทยมีโอกาสได้รับอานิสงส์ในระยะสั้นจากความต้องการใช้งานเหล็กที่มีคุณภาพจากโรงงานของผู้ผลิตที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม

นอกจากเหล็กจีนแล้ว ไทยยังจะเจอศึกอีกด้านอันเป็นผลกระทบจากนโยบายการค้าของประเทศขนาดใหญ่ อย่างเช่น อัตราภาษีนำเข้าเหล็กของสหรัฐอเมริกา

SCB EIC ประเมินว่า การกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเหล็ก 25% ของสหรัฐอเมริกา โดยใช้ Section 232 ของ Trade Expansion Act of 1962 ซึ่งส่งผลให้ประเทศที่เคยได้รับการยกเว้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเหล็ก 25% ได้แก่ อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราชิล แคนาดา ญี่ปุ่นเม็กซิโก และเกาหลีใต้ ต้องปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา จะกระทบอุตสาหกรรมเหล็กไทย โดยเฉพาะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากเหล็กต่างประเทศที่คาดว่าจะถูกระบายมายังไทยมากขึ้น 

แม้ว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการเหล็กไทยที่ผลิตและส่งออกสินค้าเหล็กไปยังสหรัฐอเมริกาไม่มาก เนื่องจากสินค้าเหล็กจากไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าไปยังสหรัฐอเมริกาในอัตรา 25% มาตั้งแต่ พ.ศ. 2561 อยู่แล้ว แต่ผลกระทบทางอ้อมต่ออุตสาหกรรมเหล็กไทย คือ ความเสี่ยงที่เหล็กจากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่ต้องถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กในครั้งนี้ จะระบายสินค้าเหล็กมายังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น เนื่องจากอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน มีความสะดวกด้านการขนส่ง ทำให้ยิ่งซ้ำเติมผู้ผลิตเหล็กของไทย โดยคาดว่าเหล็กจะถูกระบายเข้ามามากขึ้นประมาณ 10%-15% ทั้งเหล็กราคาถูกจากจีนที่มีผลผลิตล้นตลาด และเหล็กที่มีคุณภาพสูงจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

ไทยยังมีโอกาสในตลาดสหรัฐฯแต่ต้องระวังใช้วัตถุดิบจีน 

แล้วโอกาสของเหล็กไทยยังมีอยู่ไหม ?

SCB EIC มองว่า เหล็กไทยยังมีโอกาสส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากปริมาณการผลิตและการใช้งานเหล็กของสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่สอดคล้องกัน รวมถึงยังขาดแคลนเหล็กบางประเภทที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมเฉพาะทาง เช่น เหล็กกล้าความแข็งแรงสูง และเหล็กสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า จึงต้องอาศัยการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศเข้าไปใช้งาน 

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ไทยยังมีปัจจัยกดดันจากการแข่งขันกับประเทศในภูมิภาคใกล้เคียง เช่น อินเดีย เวียดนาม มาเลเซีย ซึ่งมีความสามารถในการผลิตสินค้าเหล็กประเภทเดียวกันกับที่ไทยส่งออกไปขายยังสหรัฐอเมริกาได้เช่นกัน ขณะที่การผลิตเหล็กในไทยเป็นการใช้วัตถุดิบที่นำเข้าจากประเทศจีนในสัดส่วนที่สูง  ซึ่งเป็นความเสียงที่ทำให้เหล็กจากไทยอาจถูกตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า (country of origin) ซึ่งอาจนำมาสู่การถูกดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า ผ่านกลไกการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าได้ 

แชร์
ไทยนำเข้าเหล็ก 70% ผู้ผลิตในประเทศเหนื่อย เหล็กจีนแย่งตลาดเพิ่มเรื่อยๆ