
เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปีที่ผู้ผลิตเหล็กในประเทศไทยลำบาก เพราะแข่งกับเหล็กราคาถูกจากจีนไม่ไหว ทั้งเหล็กที่นำเข้าจากประเทศจีนโดยตรง และเหล็กจีนที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในไทย ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตเหล็กไทยหลายรายต้องปิดกิจการหรือหยุดการผลิตไป
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ในช่วงปี 2562-2568 ผลผลิตเหล็กไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้น (CAGR) ติดลบปีละ -2.5% อัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กของผู้ผลิตไทยลดลงต่อเนื่อง จากที่เคยอยู่ที่ประมาณ 57% ในปี 2559 ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 40% ในช่วงปี 2557-2568
นอกจากเหนื่อยจากการแข่งขันกับเหล็กราคาถูกจากจีนแล้ว นับจากปีนี้ผู้ผลิตเหล็กในไทยยังจะเหนื่อยกว่าเดิมจากการที่สหรัฐฯปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กขึ้นเป็น 50% และยุติการยกเว้นภาษีให้เหล็กจากหลายประเทศ
SCB EIC มองว่าการที่สหรัฐฯปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบจะส่งผลกระทบสำคัญต่ออุตสาหกรรมเหล็กไทยในทางอ้อม เพราะเหล็กจากประเทศที่เคยได้รับการยกเว้นภาษีจากสหรัฐฯจะถูกระบายเข้ามาขายในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กคุณภาพสูงจากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
อีกทั้ง การที่สหรัฐฯกำหนดสินค้าที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ 407 รายการที่ต้องเสียภาษีในอัตรา 50% นั้น จะกดดันให้ผู้ผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทยที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีแนวโน้มหาวัสดุอื่นมาทดแทน ทำให้การใช้งานชิ้นส่วนและบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเหล็กซึ่งผลิตในประเทศมีความเสี่ยงที่ความต้องการจะลดลง
นอกจากนี้ SCB EIC มองว่า การผลิตเหล็กและสินค้าในกลุ่มที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบของไทยมีสัดส่วนของมูลค่าการผลิตในประเทศ (Local content/Value added) ค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็นความเสี่ยงในการถูกพิจารณาให้สินค้าจากไทยเข้าข่ายสินค้าที่มีการสวมสิทธิ์ (Transshipment) ซึ่งจะถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดวิกฤตตึก สตง.ถล่มเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลายสถาบันวิเคราะห์ว่า วิกฤตนั้นจะเป็นโอกาสของเหล็กเส้นคุณภาพสูงของไทย อย่างน้อยก็ในระยะสั้น เพราะเหตุการณ์ความสูญเสียนั้นปลุกให้ผู้บริโภคตื่นตัวใส่ใจกับเลือกเหล็กที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งข้อมูลจากอุตสาหกรรมเหล็กในปีนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นดังที่มีการวิเคราะห์ไว้จริง
ประวิทย์ หอรุ่งเรือง ที่ปรึกษาสมาคมการค้าเหล็กทรงยาวมาตรฐาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพเหล็กเส้นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเจ้าของบ้านและผู้รับเหมา เนื่องจากเหล็กเส้นเป็นวัสดุโครงสร้างหลักที่มีผลต่อความมั่นคงปลอดภัยของอาคารในระยะยาว
“ผู้ใช้เหล็กมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น รู้ว่าเหล็กเส้นแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ผู้บริโภคเริ่มกำหนดสเปกและตรวจสอบคุณภาพมากขึ้น ไม่ปล่อยให้ช่างเลือกเองเหมือนในอดีต ส่วนผู้รับเหมาหลายรายก็เข้มงวดกับการตรวจสอบคุณภาพมากขึ้น ไม่ต้องการความเสี่ยงที่อาจทำให้โครงการล่าช้าหรือมีปัญหาในอนาคต” ที่ปรึกษาสมาคมการค้าเหล็กทรงยาวมาตรฐานกล่าว
ขณะเดียวกัน ภาพรวมของอุตสาหกรรมเหล็กเส้นไทยปีนี้มีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น
ที่ปรึกษาสมาคมการค้าเหล็กทรงยาวมาตรฐานให้ข้อมูลว่า ผู้ประกอบการมีการเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพ โดยในช่วง 9 เดือนแรก มีการผลิตรวม 3.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีกำลังผลิต 2.7 ล้านตัน
ประวิทย์กล่าวถึงเรื่องความเพียงพอของผลผลิตเหล็กว่า ผู้ผลิตเหล็กเส้นในประเทศมีความพร้อมในการผลิตสินค้าทุกขนาดและทุกระดับคุณภาพ ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาการขาดแคลนเหล็กเส้นในตลาด เนื่องจากยังมีกำลังการผลิตเหลืออีกกว่า 70% สามารถจัดหาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดในปัจจุบันได้
ในเรื่องราคา ประวิทย์กล่าวว่า แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับราคาเหล็กเส้นที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันราคาได้ลดลงค่อนข้างมากตามกลไกอุปสงค์และอุปทานของตลาด โดยปัจจุบันราคาเหล็กเส้นกลมเฉลี่ยอยู่ที่ 21,000 บาทต่อตัน และเหล็กเส้นข้ออ้อยราคาอยู่ที่ 20,000 บาทต่อตัน ใกล้เคียงกับช่วงปลายปี 2567 ที่ตลาดมีการผลิตและจัดจำหน่ายเหล็กเส้นจากหลายแหล่ง
นอกจากนั้น ประวิทย์กล่าวถึงการพัฒนาคุณภาพเหล็กเส้นว่า สมาคมการค้าเหล็กทรงยาวมาตรฐานยืนยันว่า อุตสาหกรรมเหล็กเส้นของไทยจำเป็นต้องเดินหน้าพัฒนามาตรฐานการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับเหล็กที่มีคุณภาพสูง ทนทาน และปลอดภัยสำหรับการใช้งานในระยะยาว โดยมองว่า การกำกับดูแลของภาครัฐและการรักษามาตรการการผลิตอย่างรัดกุมเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค จะช่วยสร้างความมั่นใจในคุณภาพสินค้าทั่วทั้งอุตสาหกรรม