รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยึดบิตคอยน์มูลค่ามากกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และตั้งข้อหา เฉิน จื้อ (Chen Zhi) อดีตที่ปรึกษาคนสนิทของสมเด็จฮุน เซน และนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และประธานกลุ่มบริษัท Prince Holding Group ของกัมพูชา ฐานเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ขบวนการฉ้อโกงคริปโตครั้งใหญ่ระดับโลก โดยกล่าวหาว่าเขาและพวกพ้องที่ยังไม่เปิดเผยชื่อใช้แรงงานบังคับเพื่อหลอกนักลงทุน และนำเงินที่ได้ไปซื้อเรือยอชต์ เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และภาพวาดของ ปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso)
ในคำฟ้องที่เปิดเผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา อัยการรัฐบาลกลางบรู๊กลิน ตั้งข้อหาเฉินในคดีสมคบคิดฉ้อโกงผ่านระบบสื่อสารและฟอกเงิน ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ยังได้ออกมาตรการคว่ำบาตรต่อ Prince Holding Group ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ การเงิน และบริการทางธุรกิจ โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศให้บริษัทนี้เป็น “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ”
ในเอกสารดังกล่าว เฉิน วัย 38 ปี ซึ่งเป็นชาวจีนและรู้จักในชื่อ “วินเซนต์ (Vincent)” ถูกกล่าวหาว่าอนุมัติให้ใช้ความรุนแรงต่อแรงงาน อนุญาตให้จ่ายสินบนแก่เจ้าหน้าที่ต่างชาติ และใช้บริษัทในเครือ เช่น การพนันออนไลน์และการขุดคริปโต เพื่อฟอกเงินจากรายได้ผิดกฎหมาย อัยการระบุว่า เฉินคือ “ผู้บงการอยู่เบื้องหลังอาณาจักรอาชญากรรมไซเบอร์ขนาดใหญ่” ขณะที่อัยการสหรัฐฯ โจเซฟ โนเชลลา (Joseph Nocella) กล่าวว่านี่คือ “หนึ่งในปฏิบัติการฉ้อโกงการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์”
ข้อมูลจากสำนวนคดีเผยว่า เฉินเคยอวดอ้างต่อผู้ใกล้ชิดว่า “โครงการหลอกหมูเชือด” (Pig Butchering Scam) ของตนสร้างรายได้สูงถึงวันละ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ รายงานว่า ในปี 2567 เพียงปีเดียว ชาวอเมริกันสูญเงินจากกลโกงที่มีฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 66% จากปีก่อน โดย Prince Holding Group ถูกมองว่าเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ดังกล่าว
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก สถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐฯ (U.S. Institute of Peace) ยังระบุว่าทางการจีนได้เริ่มสืบสวน Prince Holding Group ตั้งแต่ปี 2563 ในข้อหาฉ้อโกงไซเบอร์และฟอกเงิน และบริษัทของเฉินถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรรมในระดับภูมิภาคมานานหลายปี
ปัจจุบัน เฉินยังคงหลบหนีการจับกุม หากถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาอาจเผชิญโทษจำคุกสูงสุดถึง 40 ปี ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมนำบิตคอยน์จำนวน 127,271 เหรียญที่ยึดไว้ ซึ่งแต่ละเหรียญมีมูลค่าประมาณ 113,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาใช้ในการชดเชยความเสียหายแก่เหยื่อ
คำฟ้องเปิดเผยว่า Prince Holding Group ได้สร้างคอมเพล็กซ์มิจฉาชีพอย่างน้อย 10 แห่งในกัมพูชา เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของปฏิบัติการหลอกลวง โดยแรงงานส่วนใหญ่เป็นคนต่างด้าวที่ถูกล่อลวงด้วยข้อเสนองานปลอม เช่น งานด้านเทคโนโลยีหรือบริการลูกค้า แต่เมื่อเดินทางมาถึง กลับถูกยึดหนังสือเดินทาง กักขังในพื้นที่ปิด และบังคับให้ทำงานในระบบหลอกลวงออนไลน์
แรงงานเหล่านี้ถูกบังคับให้ปลอมตัวบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น เฟซบุ๊ก เทเลแกรม หรือแอปหาคู่ เพื่อพูดคุยกับเหยื่อหลายพันรายทั่วโลก สร้างความไว้วางใจ และหลอกให้ลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีที่ไม่มีอยู่จริง โดยมีการฝึกอบรมอย่างเข้มงวดเพื่อเรียนรู้เทคนิคการโน้มน้าวเหยื่อ ข้อมูลในคำฟ้องระบุว่าเหยื่อรายหนึ่งสูญเงินไปกว่า 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากการถูกหลอกให้ลงทุนในคริปโตปลอม
อัยการระบุว่าเงินที่ได้จากการหลอกลวงถูกฟอกผ่านเครือข่ายบริษัทในเครือและบริษัทนอมินีของ Prince Holding Group ก่อนนำไปใช้ในการเดินทางสุดหรู การซื้อเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว เรือยอชต์ นาฬิกาหรู และผลงานศิลปะระดับโลก รวมถึงมีหลักฐานว่ามีการใช้เงินเพื่อจ่ายสินบนแก่เจ้าหน้าที่ต่างชาติและเจ้าหน้าที่ในภูมิภาค
นอกจากนี้ บริษัทยังมีพฤติกรรมทำร้ายทารุณแรงงาน คำฟ้องระบุว่าฐานปฏิบัติการหลายแห่งมีลักษณะคล้ายค่ายแรงงาน มีหอพักขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม ภายในมีศูนย์โทรศัพท์อัตโนมัติพร้อมโทรศัพท์นับร้อยเครื่อง เพื่อควบคุมบัญชีโซเชียลปลอมหลายหมื่นบัญชี หนึ่งในค่ายเหล่านี้ตั้งอยู่ใน โรงแรมคาสิโน Jinbei ของ Prince Holding Group อีกแห่งรู้จักกันในชื่อ “Golden Fortune” ซึ่งเป็นจุดที่มีการควบคุมแรงงานอย่างเข้มงวดที่สุด
ภาพถ่ายที่แนบในคำฟ้องของอัยการแสดงให้เห็นชายคนหนึ่งมีแผลแตกบนใบหน้า ชายหลายสิบคนถูกมัดมือและนอนอยู่บนพื้น และอีกคนหนึ่งมีรอยแส้สีแดงทั่วลำตัวและแขน อัยการระบุว่า เฉินเคยอนุมัติการทำร้ายร่างกายแรงงานคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าก่อปัญหา โดยกำชับว่า “อย่าตีให้ตาย” ขณะที่พยานบางรายระบุว่าแรงงานที่พยายามหลบหนีจาก Golden Fortune ถูก “ตีจนแทบไม่รอดชีวิต”
ในด้านการเมือง เฉินมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้นำระดับสูงของกัมพูชา เขาเคยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และบิดา ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำที่ครองอำนาจยาวนานกว่า 30 ปี นอกจากนี้ยังได้รับตำแหน่งเกียรติยศ “เนียะอ๊กญา (Neak Oknha)” ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางระดับสูงที่มอบให้แก่ผู้มีอุปการคุณต่อรัฐบาล
จาค็อบ แดเนียล ซิมส์ (Jacob Daniel Sims) นักวิชาการด้านอาชญากรรมข้ามชาติและนักวิจัยจากศูนย์เอเชีย มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่ากลุ่ม Prince Holding Group เป็น “โครงสร้างหลักที่ทำให้ระบบหลอกลวงไซเบอร์ระดับโลกดำรงอยู่ได้” และเฉินคือ “เสาหลักของเศรษฐกิจอาชญากรรมที่เชื่อมโยงกับระบอบการปกครองของกัมพูชา”
ซิมส์ระบุว่า “แม้คำฟ้องและการคว่ำบาตรจะไม่สามารถล้มเครือข่ายเหล่านี้ได้ทันที แต่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ เพราะมันทำให้ทุกธนาคาร บริษัทอสังหาริมทรัพย์ และนักลงทุนทั่วโลกต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะยุ่งเกี่ยวกับเงินของชนชั้นนำกัมพูชา”
เพื่อปราบปรามเครือข่ายมิจฉาชีพดังกล่สาว เมื่อปี 2567 สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรยังได้คว่ำบาตร ลียง ภัฏ (Ly Yong Phat) มหาเศรษฐีชาวกัมพูชาและสมาชิกระดับสูงของพรรคประชาชนกัมพูชา หลังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงาน การค้ามนุษย์ และการหลอกลวงออนไลน์
รายงานของสหประชาชาติในปี 2566 ประเมินว่ามีผู้คนราว 100,000 คนในกัมพูชา ถูกบังคับให้ทำงานในอุตสาหกรรมหลอกลวงออนไลน์ และอีกกว่า 120,000 คนในเมียนมา รวมถึงหลายหมื่นคนในไทย ลาว และฟิลิปปินส์
ซิมส์กล่าวทิ้งท้ายว่า “มาตรการเหล่านี้อาจไม่ยุติอาชญากรรมทางไซเบอร์ได้ในชั่วข้ามคืน แต่ถือเป็นการตัดแหล่งออกซิเจนของเศรษฐกิจหลอกลวง และส่งสัญญาณชัดเจนถึงรัฐบาลในภูมิภาคว่า การใช้อาชญากรรมของชนชั้นนำเป็นเครื่องมือทางอำนาจนั้นคือดาบสองคม”