Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
พลังงานหมุนเวียนมาแรง แซงถ่านหินแล้ว จีน-อินเดียนำ สหรัฐฯ-EU ถอยหลัง
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

พลังงานหมุนเวียนมาแรง แซงถ่านหินแล้ว จีน-อินเดียนำ สหรัฐฯ-EU ถอยหลัง

9 ต.ค. 68
09:48 น.
แชร์

ความสำเร็จใหม่ของการพัฒนาด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม เมื่อหน่วยงานวิจัย Ember รายงานว่า ครึ่งปีแรกของปี 2568 พลังงานหมุนเวียนได้ผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าพลังงานถ่านหินครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สัดส่วนส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนและอินเดีย

พลังงานสะอาดมาแรง จีนคือผู้เล่นเบอร์ 1

สำนักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม Ember Energy รายงานเมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ว่า ตั้งแต่ปี 2543 พลังงานสะอาดเพิ่มสัดส่วนในการผลิตไฟฟ้าขึ้นจาก 19% เป็น 30% ทั่วโลก ส่วนมากมาจากพลังงานแสงอาทิตย์และลม และทำให้ความเข้มข้นในคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตพลังงานไฟฟ้าลดลงกว่า 12% ในปี 2566 เทียบกับจุดสูงสุดเมื่อปี 2550

และปี 2568 ถือว่าเป็นก้าวใหม่ เมื่อ Ember รายงานว่า เดือนมกราคม-มิถุนายนที่ผ่านมา การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม สร้างไฟฟ้าไปมากถึง 5,072 เทราวัตต์ชั่วโมง (TWh) ทั่วโลก แซงหน้าถ่านหินที่สร้างพลังงานไฟฟ้า 4,896 TWh ในช่วงเวลาเดียวกัน

ซอนญา ดันลอป ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ Global Solar Council กล่าวว่า พลังงานหมุนเวียนไม่ใช่พลังงานส่วนน้อยอีกต่อไป แต่ต้องพัฒนาต่อ

“พลังงานแสงแดดและลมไม่ใช่พลังงานส่วนน้อยอีกต่อไป แต่กำลังผลักดันระบบพลังงานทั่วโลกไปข้างหน้า [...] แต่เพื่อทำให้ความคืบหน้านี้ไปต่อ รัฐบาลต่าง ๆ และอุตสาหกรรมต้องเร่งลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ ลม และการกักเก็บพลังงาน” เธอกล่าว

ด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิลนั้นค่อนข้างคงเดิม มีการลดลงเพียงเล็กน้อย ส่วนที่ลดลงเกิดมากที่สุดในจีนและอินเดีย แต่มีการใช้พลังงานฟอสซิลมากขึ้นในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป

Ember รายงานว่า ในสหรัฐฯ ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ใช้พลังงานฟอสซิลมากขึ้น แต่พลังงานสะอาดกับแทบไม่ขยับตาม ขณะที่ยุโรป ปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้นเช่นกัน มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น แต่พลังงานหมุนเวียนจากแหล่งอื่น คือลม, น้ำ และไบโอเอเนอจี กลับลดลง

ประเทศที่ผลิตคาร์บอนมากที่สุดอย่างจีน ทดแทนด้วยการเป็นมือวางอันดับ 1 ด้านการผลิตพลังงานหมุนเวียน ในสัดส่วนพลังงานที่เพิ่มขึ้นเมื่อครึ่งปีแรก กว่า 55% ของพลังงานแสงอาทิตย์มาจากจีนนี้เอง และ 82% ของพลังงานลมก็เช่นกัน และแม้ความต้องการไฟฟ้าของจีนจะเพิ่มขึ้นที่ 198 TWh แต่ก็เพิ่มขึ้นน้อยกว่าปีก่อนหน้าที่ 326 TWh

โลกหิวไฟมากขึ้น แต่พลังงานสะอาดตามทัน

Małgorzata Wiatros-Motyka นักวิเคราะห์อาวุโสด้านพลังงานไฟฟ้าที่ Ember กล่าวว่านี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญด้านพลังงาน

“เราเห็นสัญญาณแรกของจุดเปลี่ยนที่สำคัญ [...] พลังงานแสงอาทิตย์และลมเติบโตเร็วพอสำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของโลกเรา”

ความต้องการใช้ไฟฟ้าของโลกเพิ่มขึ้น 2.6% หรือ 369 TWh ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 โดยความต้องการไฟฟ้ากว่า 63% ของโลกมาจาก 4 ผู้เล่นสำคัญ จีน อินเดีย สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป กลุ่มเดียวกับที่ผลิตคาร์บอนมากกว่า 64% ของโลกในช่วงเดียวกัน (มกราคม-มิถุนายน 2568)

อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โลกสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้มากขึ้น 306 TWh และจากพลังงานลม 97 TWH รวม 403 TWh ทำให้เพียงพอต่อความต้องการไฟฟ้าของโลกที่มากขึ้น

ไฟฟ้าจากถ่านหิน

ถ่านหินเป็นแหล่งพลังงานยอดนิยมที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า เนื่องจากมีอยู่จำนวนมาก และใช้งานง่าย ทำให้โลกเราผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหินมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เมื่ออ้างจากข้อมูลของ IEA พบว่า การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากพลังงานที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 10 กิกะตันคาร์บอนไดออกไซด์ หรือร้อยละ 29 ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในปี 2561 นอกจากนี้ ยังคิดเป็นเกือบ 75% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดจากภาคการผลิตไฟฟ้า

ตามข้อมูลจาก International Energy Agency ในปี 2567 ถ่านหินมีสัดส่วนเป็น 35% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลก โดยมากมาจากอินเดีย จีน สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปตามลำดับ และการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินในประเทศจีนเพียงประเทศเดียวก็มากกว่าการปล่อยคาร์บอนจากการใช้รถยนต์ทั่วโลกถึง 30%

การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ อาทิ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์มาก รวมถึงสารอย่าง ปรอท และ ตะกั่ว เป็นสาเหตุของฝนกรด และหมอกควัน และสร้างผลกระทบทางสุขภาพหลายประการ อย่างหอบหืด ความเสียหายต่อสมอง หัวใจ มะเร็ง และโรคระบบประสาท

ผลด้านสุขภาพและมลภาวะนี้เองทำให้รัฐบาลหลายแห่งมีนโยบายลดการใช้ถ่านหิน อาทิ พระราชบัญญัติอากาศสะอาดของสหราชอาณาจักรในปี 2499 ที่ห้ามการทำเหมืองถ่านหินในพื้นที่เมืองเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควัน และความตระหนักรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศทำให้อีกหลายประเทศเริ่มมีการดำเนินการเพื่อลดการใช้ถ่านหินเช่นกัน

อ้างอิง: Reuters, Ember, UCS, IEA, EnergyUK

แชร์
พลังงานหมุนเวียนมาแรง แซงถ่านหินแล้ว จีน-อินเดียนำ สหรัฐฯ-EU ถอยหลัง